Home » อาชีพใด-คนประเภทไหน จะตกงาน? เพราะถูก AI แทนที่

อาชีพใด-คนประเภทไหน จะตกงาน? เพราะถูก AI แทนที่

381 views

บทความโดย รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอุบัติใหม่ (Thought Leader in Emerging Technologies)

AI กำลังส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานอย่างมีนัยสำคัญ หากคุณขาดทักษะเฉพาะทาง ขาดความเชี่ยวชาญลึก ขาด Soft Skills ไม่พัฒนาทักษะใหม่ เสี่ยงถูก AI แทนที่

สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมจัดรายการวิทยุ Thinking Connect กับอาจารย์ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย หัวข้อ “Google ออก AI ตัวใหม่ บัณฑิตไทยจะตกงาน” ปรากฏว่ามีคนสนใจเข้ามาดูคลิปรายการย้อนหลังใน YouTube เป็นจำนวนมาก ทั้งๆ ที่ปกติคนจะมาดูไม่มากนัก ผมคิดว่าส่วนหนึ่งน่าจะมาจากคนเห็นความสามารถของ AI ที่เก่งขึ้น แล้วเริ่มกังวลมากขึ้นว่าตัวเองอาจตกงาน

หลังจาก Google ออก เอไอเวอร์ชันใหม่ออกมา (Gemini 1.5 Pro) ไม่กี่วัน บริษัท Anthropic ก็ออก Claude 4.0 ออกมาแข่งกัน และมีประสิทธิภาพในบางด้านที่เก่งกว่า AI ตัวอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องของการเขียนโปรแกรม ผมลองให้เขียนโปรแกรมเกมหมากรุกสากล โดยให้แข่งกับคนได้ ปรากฏว่าเขียนคำสั่ง Prompt ไม่กี่บรรทัด เขาก็สามารถสร้างโปรแกรมออกมาได้ด้วยความรวดเร็วภายในไม่กี่นาที และวิธีคิดในการเล่นหมากรุกของเขาก็จัดอยู่ในขั้นพอใช้ได้

ผมเองไม่ได้เล่นเก่งมากนักและพอทดลองเล่นกับเขาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะชนะเขาได้ โปรแกรมแบบนี้บัณฑิตที่จบด้านการเขียนโปรแกรมมาใหม่ๆ ไม่สามารถจะเขียนได้ในเวลารวดเร็วแน่นอน และอาจใช้เวลาเป็นเดือน และยิ่งขาดพื้นฐานคณิตศาสตร์ที่ดี ซึ่งหลักสูตรด้านคอมพิวเตอร์หลายมหาวิทยาลัยในบ้านเรามักจะละเลย ก็ยิ่งไม่น่าจะเขียนได้เลย

อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ มีการกล่าวถึง Agentic AI ที่เป็นการนำ Generative AI ไปต่อยอด ให้สามารถคิดและทำงานแทนคนได้โดยอัตโนมัติ โดยคนไม่ต้องสั่งงานอะไร และในอนาคตสามารถจะเรียนรู้ข้อผิดพลาดและปรับปรุงตัวเองได้ ซึ่งในตอนนี้ก็เริ่มมีการพัฒนา Agent มาทำงานบางอย่างแทนคนได้แล้ว

ผมได้ทดลองพัฒนา Agent ขึ้นมาเอง ทั้งการตอบอีเมลอัตโนมัติ หรือการให้กรอกข้อมูลจาก Line หรืออีเมลที่ส่งเข้ามาลงในโปรแกรมสเปรดชีตโดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องทำเองเลย สิ่งที่ผมพบคือโปรแกรมเหล่านี้สามารถทำงานแทนคนได้จริง แต่ก็อาจมีข้อผิดพลาดได้ โดยมีความแม่นยำมากกว่า 90% ในบางงานที่ไม่ซับซ้อนจนเกินไป แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของโมเดล AI ที่จะทำหน้าที่แทนคน เช่น เมื่อมีข้อความเข้ามา เขาก็จะตัดสินใจแทนว่าจะกรอกข้อมูลลงสเปรดชีตอย่างไร หรือจะเรียกใช้เครื่องมือตัวไหนดี ซึ่งบางครั้งก็อาจมีข้อผิดพลาดได้ ดังนั้นขั้นตอนสุดท้ายคนจะต้องเป็นผู้ตรวจสอบ กล่าวคือบางอย่างแทนที่จะใช้คนจำนวนมากทำ ก็สามารถให้ AI ทำงานแทนได้ตลอดเวลา และใช้คนเก่งเพียงไม่กี่คนทำงานในหน้าที่เป็นผู้จัดการตรวจสอบงานที่ Agentic AI ทำ

ในอนาคตคนไม่สามารถสู้ AI ได้แน่นอน โดยเฉพาะเรื่องของความจำ การมองเห็น การอ่าน หรือแม้แต่การพูด นอกจากนี้ AI ยังเรียนรู้ได้ตลอดเวลาและมีความเก่งขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญ AI ทำงานได้ตลอดเวลา ไม่เหนื่อย ไม่ป่วย หรือต้องลางานเพื่อไปทำภารกิจใดๆ

ทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายในการซื้อเอไอบางตัวที่แม้บอกว่าแพงก็ยังถูกกว่าอัตราเงินเดือนคนจบปริญญาตรี จึงไม่แปลกใจที่เราอาจต้องกังวลว่า ถ้าทักษะเราไม่ดีพอ เอไอจะมาแย่งงานเราแน่นอน โดยเฉพาะลักษณะงานบางอาชีพที่เป็นงานทำซ้ำๆ และไม่ยากจนเกินไป

นอกจากประเภทงานแล้ว ลักษณะหรือพฤติกรรมของตัวคนเอง ก็มีส่วนกำหนดความเสี่ยงที่จะตกงานจากความสามารถของ AI ที่เก่งขึ้น คนที่ไม่พัฒนาตัวเองหรือไม่มีทักษะที่โดดเด่น ย่อมมีโอกาสถูก AI แทนที่สูง ถ้าถามว่าแล้วคนประเภทไหนที่เสี่ยงโดน AI มาทดแทน ก็อาจต้องดูสัญญาณเตือนว่าเราเข้าข่ายคนในกลุ่มเหล่านี้หรือไม่ ได้แก่…

  • ขาดทักษะเฉพาะทาง (ไม่มีความเชี่ยวชาญลึกในงานที่ทำ): คนที่ทำงานทั่วไปที่ไม่ได้ใช้ความรู้หรือทักษะขั้นสูงมากนักจะเสี่ยงถูกเอไอแทนที่ง่ายกว่า เพราะ AI สามารถเรียนรู้และทำงานพื้นฐานซ้ำๆ ได้ดีเยี่ยม หากงานของเราเป็นงานที่ไม่ได้ใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (เช่น คีย์ข้อมูล, ตรวจสอบข้อมูล, งานเอกสารทั่วไป) เราอาจกำลังแข่งขันกับระบบอัตโนมัติที่สามารถทำงาน 24 ชั่วโมงโดยไม่เหนื่อย ดังนั้นงานที่มีกิจวัตรซ้ำเดิมและใช้ทักษะพื้นฐาน มักถูกจัดเป็นกลุ่มที่ AI มีศักยภาพแทนที่สูง ต่างจากงานที่ต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะหรือการตัดสินใจซับซ้อนซึ่ง AI ยังทำได้ไม่เทียบเท่าคน
  • ขาดทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์และ Soft Skills: แม้ AI ทำงานเทคนิคหลายอย่างแทนที่เราได้ แต่เอไอก็ยังมีทักษะหลายอย่างโดยเฉพาะด้าน Soft Skills ที่ยังทำไม่ได้ดี อาทิ การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม ความฉลาดทางอารมณ์ ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือความยืดหยุ่นปรับตัว จะกลายเป็นสิ่งที่นายจ้างมองหามากขึ้น หากใครขาดทักษะเหล่านี้ ก็จะไม่มีจุดแข็งอะไรที่เหนือกว่า AI ดังนั้นผู้ที่ขาด Soft Skills เหล่านี้จะเสี่ยงตกงานหรืออย่างน้อยก็เสียโอกาสความก้าวหน้า เพราะพวกเขาไม่มีจุดเด่นเพิ่มเติมจากที่ AI  ทำได้อยู่แล้ว
  • ขาดทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking): การคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ และการแก้ปัญหาเชิงซับซ้อนเป็นทักษะที่ตลาดงานอนาคตต้องการสูงมาก ในขณะที่ AI เก่งในการคำนวณหรือหาคำตอบจากข้อมูลที่มีอยู่ AI ยังขาดความสามารถในการคิดเชิงวิจารณญาณและวิเคราะห์บริบทใหม่ๆ เช่น การคิดทางด้านจริยธรรม การวิพากษ์ผลลัพธ์ที่ได้มา หรือการมองปัญหาในมุมที่ไม่เคยเจอมาก่อน คนที่ขาดทักษะนี้มักทำงานแบบตามคำสั่งหรือตามขั้นตอนตายตัว ซึ่งงานลักษณะนี้ AI สามารถทำแทนได้ นอกจากนี้การขาดทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ยังไม่สามารถปรับตัวเรียนรู้สิ่งใหม่อีกด้วย
  • ทำงานผิดพลาดบ่อย ขาดความละเอียด: AI จะเก่งในงานที่ทำซ้ำในเรื่องเดิม และความแม่นยำแม้อาจมีความผิดพลาดบ้าง แต่ก็จะมีความถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งบางงานที่ไม่ซับซ้อนมากนักก็อาจถูกต้องเกือบ 100% ซึ่งตรงกันข้ามกับมนุษย์ที่จมีความผิดพลาดจากความประมาทหรือความล้าเป็นปัจจัย หากพนักงานคนใดขึ้นชื่อว่าทำงานผิดพลาดบ่อย ขาดความละเอียดรอบคอบ นายจ้างยิ่งมีแรงจูงใจจะนำระบบอัตโนมัติมาแทนที่ หุ่นยนต์สามารถทำงานโดย “ไม่รู้จักเหนื่อยหรือทำพลาด” ซึ่งช่วยลดความสูญเสียให้บริษัทได้
  • ทำงานโดยใช้ AI เป็นเพียงเครื่องมือแต่ไม่ต่อยอดความรู้: ปัจจุบัน AI กลายเป็นเครื่องมือช่วยงานแทบทุกสายอาชีพ คนที่สามารถนำ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพงานตนเองได้ย่อมได้เปรียบในตลาดงาน แต่ในทางกลับกันหากใครใช้ AI เพียงแค่ตามคำบอกโดยไม่เข้าใจแก่นของงานหรือไม่พัฒนาต่อยอดผลลัพธ์ ย่อมไม่มีคุณค่าเพิ่มที่เหนือกว่า AI หมายความว่าคนนั้นแค่สั่ง AI ทำงานออกมา แต่เขาเองไม่ได้เพิ่มความคิดสร้างสรรค์หรือวิจารณญาณลงไป งานของเขาก็ไม่ต่างอะไรกับผลลัพธ์ที่ AI ทำได้อยู่แล้ว

กล่าวคือเป็นคนที่พึ่งพา AI แบบผิวเผิน (เช่น คัดลอกคำตอบของ AI โดยไม่กลั่นกรอง หรือใช้ AI ทำงานแทนทั้งหมดโดยตนเองไม่เข้าใจขั้นตอน) คนที่ใช้ AI แบบนั้นก็อาจจะตกอยู่ในความเสี่ยงมาก เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งนายจ้างอาจรู้สึกว่าใช้ AI โดยตรงไม่ต้องมีคนคนนั้นก็ได้ หรือถูกแทนที่ด้วยคนที่ใช้ AI ได้มีประสิทธิภาพและเข้าใจงานมากกว่า

สรุปแล้วแม้ AI จะเก่งขึ้นและสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อการจ้างงานของมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์จะไร้คุณค่าในอนาคต ตรงกันข้าม คนที่ปรับตัวได้จะยังมีความสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและสังคมต่อไป กุญแจสำคัญคือการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมและเสริมพลังกับ AI รู้จักพัฒนาทักษะที่เราเก่งและเสริมในด้านที่ AI ไม่เก่ง พร้อมทั้งยอมรับการเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์

หากทำได้เช่นนี้ AI ก็จะไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่จะกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยปลดล็อกศักยภาพของมนุษย์ให้สูงยิ่งขึ้น เราทุกคนจึงควรมองยุค AI อย่างมีความหวังและเตรียมพร้อมที่จะเติบโตไปกับมันมากกว่าจะต้านทานมันอย่างหวาดกลัว

You may also like

The-Perspective แหล่งรวมองค์ความรู้ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ เกาะติดข่าวสารคาดการณ์อนาคต

Tel:  081-619-9494
Email:
editor@the-perspective.co
naiyanaone@gmail.com

Total Visit:

345,640

345,640

Editors' Picks

Latest Posts

The-Perspective © All Right Reserved.

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการใช้งานของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อเก็บข้อมูลและรวบรวมสถิติวิจัยทางด้านการตลาด การวิเคราะห์แนวโน้ม ตลอดจนนำมาปรับปรุง และควบคุมการทำงานของเว็บไซต์ ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอม ท่านยังสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้ปกติ ยอมรับทั้งหมด