Home » AI Disruption พนง. ถูกปลด กับโจทย์ที่มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนหลักสูตรด่วน

AI Disruption พนง. ถูกปลด กับโจทย์ที่มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนหลักสูตรด่วน

166 views

บทความโดย รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอุบัติใหม่ (Thought Leader in Emerging Technologies)

การมาของ AI Disruption ทำให้หลายบริษัทลดพนักงานจำนวนมหาศาล ส่งสัญญาณเตือนให้ระบบการศึกษาต้องเปลี่ยนด่วน ซึ่งประเทศไทยก็ควรต้องปรับหลักสูตรครั้งใหญ่

Main Point

  • AI ทำให้งานซ้ำซากถูกแทนที่ ลดตำแหน่งงานแบบเดิมและเพิ่มอัตราว่างงานในบางกลุ่มแรงงาน
  • ธุรกิจไทยปรับใช้ AI มากขึ้น ส่งผลลดความต้องการแรงงานในงานธุรการ ค้าปลีก และบริการลูกค้า
  • ระบบการศึกษาต้องปฏิรูป เน้นสอนคิดวิเคราะห์และทักษะใหม่ เพื่อเตรียมแรงงานรับมือโลกงานยุค AI ที่เปลี่ยนเร็ว

สัปดาห์นี้ผู้อ่านหลายคนอาจเห็นข่าว บริษัท Amazon ประกาศแผนลดพนักงานระดับองค์กร 14,000-30,000 คน นับเป็นการลดพนักงานที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท โดยก่อนหน้านี้หนึ่งสัปดาห์ก็มีข่าวบริษัท Meta ผู้เป็นเจ้าของ Facebook ประกาศลดพนักงาน 600 ตำแหน่งในหน่วยงาน Superintelligence Labs ซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนา AI ของบริษัท

ข้อมูลจาก Layoffs.fyi ระบุว่าตั้งแต่ต้นปี 2025 บริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลกปลดพนักงานกว่า 192,000 คน จาก 582 บริษัท ซึ่งเฉลี่ยวันละ 639 คน สาเหตุหลักมาจาก AI Disruption และการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ทดแทนแรงงานมนุษย์ บริษัทใหญ่ๆ ระบุชัดเจนว่ากำลังลงทุนหนักในเทคโนโลยี AI และต้องการใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน 

สอดคล้องกับเหตุผลที่ผู้บริหารเหล่านี้ให้ไว้ เช่น Andy Jassy ที่เป็น CEO ของ Amazon กล่าวอย่างชัดเจนว่า “เมื่อเราใช้ Generative AI และ AI Agent มากขึ้น มันจะเปลี่ยนวิธีการทำงานของเรา เราจะต้องการคนน้อยลงในงานบางอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้” หรือ Marc Benioff ที่เป็น CEO ของ Salesforce กล่าวแบบตรงไปตรงมาว่า “เราลดพนักงานจาก 9,000 คนเหลือ 5,000 คน เพราะเราต้องการคนน้อยลง AI ทำงานได้ 30-50% แล้ว”

ทั้งนี้มีการวิจัยพบว่าตำแหน่งงานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการถูกแทนที่ด้วย AI ได้แก่ ฝ่ายบริการลูกค้า งานด้านการป้อนข้อมูล ตำแหน่งเริ่มต้นในสายเทคโนโลยี เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลที่มีการนำแชทบอตเข้ามาทำหน้าที่แทน

AI สร้างเหตุบัณฑิตจบใหม่ว่างงาน

ในสหราชอาณาจักร บัณฑิตจบใหม่สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์กำลังเผชิญกับปัญหาว่างงานอย่างรุนแรง รายงานจาก UK’s National Foundation for Education Research พบว่าตำแหน่งงานด้านเทคโนโลยีลดลง 50% ตั้งแต่ปี 2019/20 ถึง 2024/25 โดยเฉพาะตำแหน่งระดับเริ่มต้น บัณฑิตที่จบใหม่ต้องแข่งขันกับคนที่มีประสบการณ์และเทคโนโลยี AI ที่สามารถทำงานเขียนโปรแกรมขั้นพื้นฐานได้ดีมาก

ในสหรัฐอเมริกา อัตราว่างงานของบัณฑิตจบใหม่อายุ 22-27 ปีพุ่งขึ้นเป็น 5.8% ในเดือนมีนาคม 2025 สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2013 สำหรับบัณฑิตวิทยาการคอมพิวเตอร์ในปี 2025 อัตราว่างงานอยู่ที่ 6.1% นี่คือการพลิกผันที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเมื่อ 5-10 ปีก่อนนักเรียนถูกสอนว่า “การเรียนการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์” คืออนาคตที่แน่นอน

ประเทศไทย กับเหตุการณ์ AI Disruption

สัญญาณเตือนก็มีให้เห็นในบ้านเราเช่นกัน โดยเฉพาะกรณีโครงการ “เกษียณก่อน เกษมสุข” ของธนาคารกสิกรไทยที่ประกาศเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สร้างความตกใจให้กับสังคมไทย เพราะเป็นโครงการแรกที่เปิดให้พนักงานอายุเพียง 45 ปีสมัครใจเกษียณก่อนกำหนด ซึ่งถือว่ายังอยู่ในวัยทำงานกลางๆ ไม่ใช่ใกล้เกษียณ

ผู้เชี่ยวชาญบางท่านบอกว่าธุรกิจไทยกำลังปรับโครงสร้างกระบวนการทำงานเพื่อลดต้นทุน โดยพึ่งพาเทคโนโลยีสมัยใหม่รวมถึง AI และเครื่องมือดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งลดความต้องการแรงงานคนลงอย่างมาก ค่าใช้จ่ายด้านแรงงานคิดเป็น 10-30% ของต้นทุนรวม แต่ AI สามารถทำงานทดแทน โดยเฉพาะงานธุรการและการจัดการที่เคยต้องใช้คนจำนวนมาก นอกจากนี้ทางสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ประเมินว่า ชาวไทย 8.3 ล้านคน (70% ในอาชีพเสี่ยงสูง) อาจถูกแทนที่ด้วย AI 

Goldman Sachs ประมาณการว่า AI อาจทำให้งานที่เทียบเท่ากับ 300 ล้านตำแหน่งทั่วโลกถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ในประเทศไทยมีงาน 15% ที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะในกลุ่มงานสนับสนุนด้านธุรการ ค้าปลีก และบริการลูกค้า

ไทยควรเล็งปรับหลักสูตร

แต่ปัญหาใหญ่ที่น่ากังวลที่สุดคือ ระบบการศึกษาไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลง แม้จะมีความพยายามปฏิรูปหลายครั้ง แต่แกนหลักของหลักสูตรยังคงเหมือนเดิม เด็กๆ ยังถูกสอนในแบบเดิมๆ ท่องจำ ทำตามคำสั่ง ไม่ได้ถูกฝึกให้คิดวิเคราะห์ สร้างสรรค์ หรือแก้ปัญหา ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ทำไม่ได้และเป็นทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการจริงๆ

การวิจัยระดับสากลพบว่า ความรู้ที่เรียนในปีที่หนึ่งของหลักสูตร 4 ปี มีเกือบ 50% ล้าสมัยไปแล้วเมื่อสำเร็จการศึกษา และทักษะทางเทคนิคครึ่งหนึ่งจะล้าสมัยภายใน 18 เดือน แต่สถาบันการศึกษาต้องใช้เวลา 4-5 ปีในการปรับปรุงหลักสูตร ทำให้ไล่ตามการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน

ที่แย่กว่านั้นคือ ระบบการศึกษายังเน้นเตรียมนักเรียนสำหรับงานประจำ หลายหลักสูตรมุ่งเน้นให้รับราชการ ทำงานเป็นพนักงานของบริษัท ทั้งที่ความจริงคือโลกแห่งการทำงานกำลังเปลี่ยนไปสู่รูปแบบ Gig Economy  เน้นพนักงานฟรีแลนด์ หรือการทำงานแบบโปรเจกต์มากขึ้น

ผู้คนจะต้องเปลี่ยนอาชีพบ่อยขึ้น อาจไม่ใช่แค่เปลี่ยนงาน แต่เปลี่ยนสายอาชีพโดยสิ้นเชิง ตลอดชีวิตการทำงาน การมีงานประจำในบริษัทเดียวตั้งแต่จบจนเกษียณกำลังกลายเป็นเรื่องที่หายากมากขึ้น แต่ระบบการศึกษาของเรายังไม่ได้สอนเด็กให้รู้จักการบริหารอาชีพในรูปแบบใหม่นี้ ยังไม่ได้สอนให้พวกเขารู้จักการสร้างรายได้หลายทาง การทำงานอิสระ หรือการเป็นผู้ประกอบการ

นักศึกษาที่เข้ามหาวิทยาลัยในปัจจุบันจะเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะในช่วง 4 ปีที่กำลังศึกษา โลกของการทำงานกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมีโมเดล AI รุ่นใหม่เกิดขึ้นทุก 6-12 เดือน ความต้องการทักษะในตลาดแรงงานเปลี่ยนแปลงไป ขณะเดียวกันงานบางประเภทที่มีอยู่ในปัจจุบันจะหายไป และมีงานใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนเกิดขึ้นมาแทนที่ ส่งผลให้ทักษะที่เรียนในมหาวิทยาลัยจะล้าสมัยไปเกือบครึ่งหนึ่งเมื่อถึงเวลาสำเร็จการศึกษา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับตัวและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องของนักศึกษายุคใหม่

การแก้ปัญหาผลกระทบของการเข้ามาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี AI ต่อตลาดแรงงาน จึงไม่ใช่แค่การจัดหลักสูตร Upskilling หรือ Reskilling ให้คนทำงานเท่านั้น แต่เราต้องปฏิรูประบบการศึกษาตั้งแต่รากฐาน ต้องปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต ต้องเปลี่ยนวิธีสอนจากการท่องจำไปสู่การคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา ต้องสอนให้เด็กรู้จักการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพราะความรู้ที่พวกเขาเรียนจากหนังสือในวันนี้อาจล้าสมัยไปแล้วเมื่อพวกเขาจบการศึกษา

เราต้องสร้างระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ใช่แค่ขณะที่เรียนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย แต่ตลอดชีวิตการทำงาน คนต้องสามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ได้ตลอดเวลาเมื่อโลกเปลี่ยนไป ต้องมีระบบสนับสนุนทางการเงินและโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยให้คนสามารถหยุดทำงานชั่วคราวเพื่อไปเรียนรู้สิ่งใหม่ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องรายได้

ที่สำคัญที่สุดคือสถาบันการศึกษาต้องมีการทำการคาดการณ์อนาคต (Strategic Foresight) อย่างจริงจัง ต้องมองไปข้างหน้า 10-20 ปี ว่าโลกจะเป็นอย่างไร เทคโนโลยีจะพัฒนาไปอย่างไร ตลาดแรงงานจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร แล้วย้อนกลับมาวางแผนว่าวันนี้เราควรเปิดหลักสูตรอะไร สอนอะไร เตรียมความพร้อมอย่างไร

เวลาไม่ได้รอเรา นักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยตอนนี้จะจบในอีก 3-4 ปีข้างหน้า พวกเขาจะออกมาสู่โลกที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หากเรายังสอนในแบบเดิม ยังไม่ปรับหลักสูตร ยังไม่เตรียมพวกเขาให้พร้อม พวกเขาจะเป็นเหยื่อของการเปลี่ยนแปลงนี้ ภาวะว่างงานจะพุ่งสูง ความเหลื่อมล้ำจะเพิ่มขึ้น และประเทศจะเสียโอกาสในการพัฒนา

การศึกษาคือกุญแจสำคัญ แต่ไม่ใช่การศึกษาแบบเดิมที่เน้นการถ่ายทอดความรู้ แต่เป็นการศึกษาที่สอนให้คนรู้จักคิด รู้จักเรียนรู้ รู้จักปรับตัว และรู้จักสร้างสรรค์ นั่นคือการศึกษาที่จะช่วยให้คนอยู่รอดและประสบความสำเร็จในยุคของ AI และหากเราไม่เริ่มปฏิรูปอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้ พรุ่งนี้อาจสายเกินไป

You may also like

The-Perspective แหล่งรวมองค์ความรู้ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ เกาะติดข่าวสารคาดการณ์อนาคต

Tel:  081-619-9494
Email:
editor@the-perspective.co
naiyanaone@gmail.com

Total Visit:

345,640

345,640

Editors' Picks

Latest Posts

The-Perspective © All Right Reserved.

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการใช้งานของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อเก็บข้อมูลและรวบรวมสถิติวิจัยทางด้านการตลาด การวิเคราะห์แนวโน้ม ตลอดจนนำมาปรับปรุง และควบคุมการทำงานของเว็บไซต์ ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอม ท่านยังสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้ปกติ ยอมรับทั้งหมด