ในยุคที่ AI กำลังกลายเป็นกลไกขับเคลื่อนอำนาจใหม่ทั้งในระดับครอบครัว ระดับองค์กร ระดับประเทศ และ ระดับโลก ทำให้ยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยีต่างชิงความเป็นผู้นำโดยไม่มีใครยอมใคร การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในเรื่องของการจัดลำดับซึ่งแทบจะเปลี่ยนแปลงทุกวัน ดังจะเห็นได้จากการประกาศความสามารถใหม่ๆ ของ AI แต่ละค่ายที่ออกมาโชว์ความโดดเด่นแทบจะรายวันก็ว่าได้ หากแต่ความเก่งกาจของ AI มีทั้งเชิงบวกและเชิงลบ ที่คนไทยควรตระหนักรู้ ซึ่งหนึ่งในนั้นที่เป็นเรื่องใหม่คือ อธิปไตย AI หรือ “AI Sovereignty”
อ.ปริญญา หอมเอนก ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอซิส โปรเฟสชั่นนัล เซ็นเตอร์ จำกัด และ บริษัท ไซเบอร์ตรอน จำกัด เปิดมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับ “AI Sovereignty” หรือ “อธิปไตย AI” ว่า “โลกกำลังเปลี่ยนผ่านจาก Cyber Sovereignty และ Data Sovereignty ไปสู่ AI Sovereignty โดยผู้ที่มีอำนาจด้าน AI จะเข้ามาครอบงำโลกในลักษณะ Cyber Dominance หรือ The New World Order”
พร้อมกับขยายความว่า องค์ประกอบและลำดับขั้นของ AI Sovereignty มีรากฐานมาจาก Digital Sovereignty และ Data Sovereignty โดยแบ่งเป็น 3 ลำดับขั้นสำคัญ ได้แก่
1. Data Sovereignty (อธิปไตยข้อมูล) เป็นรากฐานที่สำคัญที่สุด หมายถึงการมีข้อมูลเป็นของตนเองและควบคุมคุณภาพข้อมูลซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับการพัฒนา AI การปกป้องข้อมูลสำคัญ และความเป็นส่วนตัวของประชาชน โดยเฉพาะข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะภาคสาธารณะสุข ภาคการเงิน และ ภาครัฐ
2. Digital Sovereignty (อธิปไตยดิจิทัล) อยู่ในระดับกลาง หมายถึงการครอบครองโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เช่น Data Center ที่สามารถประมวลผล AI ได้อย่างรวดเร็ว และมีพลังในการประมวลผลมหาศาล การลงทุนระดับพันล้านจนไปถึงแสนล้านบาท
3. AI Sovereignty (อธิปไตย AI) อยู่บนสุดของปิรามิด การมีซอฟต์แวร์ AI ของตนเอง โดยเฉพาะ Large Language Model (LLM) และความสามารถเฉพาะทางในการฝึกฝนโมเดลเหล่านั้น ถือเป็น know-how ที่ประเทศไทยเรายังไม่มี

“AI Sovereignty คือแนวคิดที่หมายถึง การมีอำนาจในการกำกับดูแลข้อมูล โครงสร้างพื้นฐาน และระบบปัญญาประดิษฐ์ หากประเทศใดขาดองค์ประกอบเหล่านี้ โดยเฉพาะฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ก็จะต้องพึ่งพาต่างชาติและสูญเสียอธิปไตยด้าน AI ระยะสั้นและระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
AI Sovereignty: อำนาจใหม่ของชาติและความมั่นคงแห่งชาติ
AI Sovereignty ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของอำนาจทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ในระดับโลก อ.ปริญญาเน้นย้ำว่า ประเทศไทยยังขาดอธิปไตย AI อย่างสิ้นเชิง เนื่องจากไม่มีฮาร์ดแวร์ โครงสร้างพื้นฐาน หรือซอฟต์แวร์ LLM ของตนเอง ข้อมูลสำคัญของประเทศถูกนำไปประมวลผลบนคลาวด์ต่างชาติ ซึ่งทำให้สูญเสียอธิปไตยด้านข้อมูลและกลายเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงแห่งชาติ ถึงแม้ data center จะอยู่ในผืนดินไทยแต่เราไม่สามารถควบคุมได้
“AI Sovereignty คือความสามารถของประเทศในการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็น Data Center, พลังประมวลผล หรือการพัฒนาโมเดล AI โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติแบบเบ็ดเสร็จ”
อ.ปริญญาเตือนว่า หากไทยไม่เร่งพัฒนาศักยภาพด้าน AI Sovereignty จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังในยุคที่โลกขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ และอาจตกเป็นเป้าถูกครอบงำจากอำนาจเทคโนโลยีต่างชาติ
โดยแสดงข้อคิดและคำแนะนำว่า ผู้นำประเทศและรัฐบาลต้องตระหนักถึงความสำคัญของ AI Sovereignty ในประเด็นด้านความมั่นคงแห่งชาติ เร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและพัฒนา AI ที่ตอบโจทย์อัตลักษณ์และวัฒนธรรมของไทย รวมทั้งสร้างความเข้าใจและวิจารณญาณแก่ประชาชนในการรับสื่อ AI โดยเฉพาะคอนเทนต์ที่อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดของประชาชน
AI Sovereignty คือหัวใจสำคัญของอนาคตชาติ ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คืออำนาจในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศอย่างแท้จริง
การแข่งขันอย่างดุเดือดของเจ้าแห่งเทคโนโลยีและแพลตฟอร์ม เป็นคำตอบที่แสดงให้เห็นว่า การมีอำนาจในมือคือผู้ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ แม้แต่ในมุมของ AI Sovereignty ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นการเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งจึงเป็นเป้าหมายของทุกคนในเวลานี้
AI Race ชิงความเป็นเบอร์ 1
ล่าสุดเป็นข่าวดังแห่งวงการ AI เมื่อ Mark Zuckerberg เจ้าของ Meta ประกาศซื้อตัว Alexander Wang ผู้ก่อตั้ง Scale AI ด้วยมูลค่ามหาศาลราว 5 แสนล้านบาท (14,300 ล้านดอลลาร์) โดยการเข้าถือหุ้น 49% แบบไม่มีสิทธิ์ออกเสียงใดๆ ในบริษัท Scale AI
อ.ปริญญา กล่าวว่า ความน่าสนใจของ Scale AI คือเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการจัดเตรียมข้อมูลและการฝึกฝน AI โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบเสริมกำลังจากมนุษย์ป้อนกลับ หรือ Reinforcement Learning from Human Feedback (RLHF) ที่ทำให้แม้แต่บริษัท AI ชั้นนำต่างๆ รวมถึง OpenAI, Microsoft, Facebook, Google ต่างก็เป็นลูกค้าของ Scale AI
“ปัจจุบันหากวิเคาระห์กันจากจำนวนผู้ใช้ Platform ของแต่ละค่าย Meta อาจเป็นที่ 2 รองจาก Google แต่การพัฒนา AI ยังไม่ไปถึงไหน การที่ Meta จะถีบตัวขึ้นมาเป็นผู้นำได้นั้นต้องมีระบบ AI ที่ฉลาด มีข้อมูลที่ดี และมีความคิดที่เข้าใกล้มนุษย์ให้มากที่สุด การตัดสินใจทุ่มเงินราว 5 แสนล้านบาทจึงกลายเป็นทางเลือกของ Meta”
ทั้งนี้ อ.ปริญญา กล่าวว่าแนวคิด “พระเจ้าองค์ใหม่” หรือ AGI ที่ Mark Zuckerberg และ Sam Altman กล่าวถึงนั้น หมายถึงการถือครองอำนาจสูงสุดในการพัฒนา AI ให้ไปสู่ AGI ที่มีความฉลาดเท่าเทียมกับมนุษย์ สามารถควบคุมข้อมูล โครงสร้างพื้นฐาน และระบบ AI LLM ที่สมบูรณ์แบบได้อย่างเบ็ดเสร็จ
การแข่งขันด้าน AI ในปัจจุบันดุเดือดรอบด้าน ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์ อย่าง Nvidia GPU ที่มีราคาสูงและล้าสมัยเร็ว ด้านซอฟต์แวร์ ด้วยการแข่งขันของแต่ละค่าย ทั้ง ChatGPT, Gemini, Claude รวมถึงการแย่งชิงบุคลากร AI ระดับโลกด้วยข้อเสนอผลตอบแทนด้วยเงินมหาศาล
“หลวงตาบุญจริง” กับปรากฏการณ์ AI ASMR: เมื่อ AI สร้างพระและธรรมะ
หนึ่งในกรณีศึกษาที่สะท้อนผลกระทบของ AI ต่อสังคมไทย คือ “หลวงตาบุญจริง” พระ AI ที่สร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อผลิตคอนเทนต์ ASMR (Autonomous Sensory Meridian Response) และคลิปธรรมะบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น TikTok และ Facebook คลิปเหล่านี้มีความสมจริงทั้งภาพและเสียงจนหลายคนเชื่อว่าเป็นพระจริงๆ
คลิปของ “หลวงตาบุญจริง” มียอดวิวถล่มทลายภายในเวลาไม่กี่วัน และมีผู้ติดตามหลักแสนคน เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นคำสอนหรือคำคมที่เน้นเรื่องจิตใจ แต่บางคลิปก็อาจผิดเพี้ยนจากหลักคำสอนจริง ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามถึงความเหมาะสมและความรับผิดชอบของแพลตฟอร์ม หลายฝ่ายเสนอว่าควรมีการแจ้งเตือนชัดเจนว่าเป็นคอนเทนต์จาก AI เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด
ตัวอย่าง AI Sovereignty จากทั่วโลก
หลายประเทศเริ่มลงทุนในโครงการ AI Sovereignty เพื่อสร้างขีดความสามารถของตนเอง
- เดนมาร์ก: ได้เปิดตัวซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ของตนเอง เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา AI ภายในประเทศ โดยเน้นด้านเภสัชกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ
- อิตาลี: มี “AI factory” ที่ขับเคลื่อนโดยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ เพื่อพัฒนาโมเดลภาษา AI สำหรับหน่วยงานภาครัฐ
- สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): ได้พัฒนาโมเดล AI เชิงกำเนิดของตนเองชื่อ “Falcon”
- อินเดีย: จัดสรรงบประมาณจำนวนมากเพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI
- สิงคโปร์: มีโครงการ SEA-LION (Southeast Asian Languages in One Network) เพื่อพัฒนาโมเดล AI ที่รองรับ 11 ภาษาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงภาษาไทย
อ.ปริญญาให้ความเห็นว่า ปัญหา AI Sovereignty อาจส่งผลต่อความมั่นคงในอาชีพของมนุษย์ในอนาคต หากมองกลับมาที่ประเทศไทย เราจะอยู่ตรงไหนของเวทีนี้คือสิ่งที่เราต้องรีบทบทวนอย่างเร่งด่วน