คอลัมน์ เรื่องเล่าจากต่างแดน โดย 2 Cents
ก่อนหน้านี้ผู้เขียน เขียนบทความมาลงในเว็บไซต์ The-perspective.co มาหลายตอนแล้ว โดยใช้นามปากกาว่า “2 Cents” เช่น เรื่องเที่ยวเปรู เรื่องการบริจาคและงานจิตอาสาในอเมริกา รวมทั้งเรื่องอื่น ซึ่งยังจะมีเรื่องราวอีกหลายๆ เรื่องที่จะมาเล่าให้อ่านกัน ผู้อ่านหลายคนอาจจะสงสัยว่า 2 Cents เป็นใคร?
ในบทความนี้จึงจะขอเล่าถึงตัวเอง ที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย เช่น เป็นนักเรียนนอกที่ “ตกภาษาอังกฤษตั้งแต่ ป.6 ยันมหาวิทยาลัย งานอะไรก็ทำแม้จะต้องรอรับโทรศัพท์ฉุกเฉินตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึง 8 โมงเช้า…. เรียนมาราธอนยาวนาน 10 ปี
จนวันนึงเรียนจบ ได้งานสองแห่งแต่เลือก “making a difference” ทำงานในหน่วยงานของรัฐบาลซึ่งได้เงินเดือนน้อยกว่าอีกแห่งที่ได้รับ offer และวันนี้ “อยู่อเมริกามาครบ 30 ปี พอดี”
บทความนี้แก้ไขจากโพสต์ที่ผู้เขียนโพสต์บน Facebook เมื่อ วันที่ 4 พ.ค. 2558 และต้องขออภัยที่เป็นโพสต์ที่ยาวมากใครสนใจขอเชิญอ่านนะคะ
ชีวิต นักเรียนนอก “ตกภาษาอังกฤษตั้งแต่ ป.6 ยันมหาวิทยาลัย
วันนี้ (4 พ.ค. 2567) เป็นวันที่ผู้เขียนอยู่อเมริกามาครบ 30 ปี ขออนุญาตเล่าชีวิตนักเรียนนอก ให้อ่านนะคะ ว่าเหมือนที่ใครคิดไหมนิยายเรื่องยาวหน่อยนะคะเพราะตั้ง 10 ปี (เรียนมาราธอน 555)
เหตุผลที่เรามานี่จริงๆ คืออกหักรักคุดไม่อยากอยู่เมืองไทย (น้ำเน่าไหม แต่ดันจริงนี่สิ 555) แล้วส่วนนึงก็อยากทำงานแบงค์ชาติ (แต่มหาวิทยาลัยที่เรียนไม่อยู่ในสายตาเขา ก็เลยได้แค่ฝึกงานสองเดือน) ที่มาที่นี่เพราะก่อนมาเราไปเรียน ป.โท ที่ธรรมศาสตร์อยู่เทอมนึง ได้ใช้หนังสือที่เขียนโดยอาจารย์ที่ UCONN ซึ่งอ่านง่ายดีก็เลยคิดว่าจะไปเรียนกับเขา
ด้วยความที่ไม่มีดีอะไร คะแนน TOEFL ก็นิดเดียวเลยได้แค่สมัครเรียน ป.โท ตอนได้จดหมายตอบรับดีใจมากๆ แต่พอรู้ว่าค่าเทอมแพงมาก ก็เริ่มคิดว่าคงจะต้องย้ายไปเรียนที่อื่น ส่วนอาจารย์ที่เราจะมาเรียนด้วยเขาเกษียณตัวเองปีก่อนที่เราเข้าพอดี ตอนนั้นก็คิดว่า “ไม่มีอะไรที่นี่ที่ทำให้อยากอยู่แล้ว”
เริ่มเรียนเทอมแรกเห็นเพื่อนๆ เขามีออฟฟิสนั่งกัน เราไม่มีก็แอบงง? พอถามเขาถึงได้รู้ว่าเขาทำงานเป็น TA/RA (Teaching/Research Assistant) กัน ก็เพิ่งรู้ว่าที่นี่เขามีจ้างเรียนกันด้วย เลยแอบฝันว่าจะไม่ต้องย้ายมหาวิทยาลัย แถมยังฝันต่อว่าจะส่งตัวเองเรียนจนจบ ป.เอก จะทำให้พ่อแม่กับอีกคนภูมิใจ ก็เดินไปหา grad director บอกเขาว่าเราอยากได้มั่ง เขาบอกถ้าผลการเรียนเทอมนี้ดีจะพิจารณา
“แล้วจะไหวไหมล่ะ” นั่นเพราะต้องเรียนทั้ง เลข ภาษาอังกฤษ และเศรษฐศาสตร์ ในเวลาเดียวกัน แถมยังลงมันซะ 4 ตัว (เพื่อจะรีบจบ) แต่โชคดีที่มีเพื่อนดีชวนเราเข้า group study อ่านหนังสือมันตั้งแต่ 9 โมงถึงเที่ยงคืน วันไหนเหนื่อยขี้เกียจขับรถกลับบ้านก็นอนมันบนโซฟาในหอเพื่อนนั่นแหละ คนเดินผ่านไปมาก็ไม่สนแล้ว
จากที่ตกภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ ป.6 ยันมหาวิทยาลัย หมดเทอมแรก grad director ก็เรียกไปคุยว่าเราเรียนใช้ได้และอาจารย์ก็พูดถึงเราดีเขาตกลงให้ GA (Graduate Assistant) เรา พร้อมกับถามเราว่า คิดจะทำปริญญาเอกรึเปล่า? เพราะเรียนโทกับเอกเทอมที่สองจะต้องลงต่างกันหมด เราก็ตอบทันทีว่าทำ และเปลี่ยนวิชาที่ลงไว้ทั้งหมด
งานอะไรก็ทำ
เพราะภาษาอังกฤษห่วยเราเลยได้ทำงานแค่ 10-15 ชั่วโมง/สัปดาห์ เงินเดือนยังไม่ค่อยพอใช้ต้องทำงานอีกงาน ถึงจะมีเงินพอใช้ (แบบไม่ต้องขอพ่อแม่) สมัครงานในมหาวิทยาลัยไปกี่ที่ก็ไม่มีใครรับ จนเกือบปีให้หลัง เพื่อนอินเดียมาบอกว่าที่เขาทำงานอยู่มีคนออกเราจะทำไหม ไม่ถามเลยว่าทำอะไรเราคว้าไว้ก่อน
มันคืองานรับโทรศัพท์ฉุกเฉินเกี่ยวกับสาธารณูปโภคในมหาวิทยาลัย ทำเที่ยงคืน ถึง 8 โมงเช้า วันธรรมดาอาทิตย์ละวัน มีว่างกะนี้กะเดียวเพราะไม่มีใครอยากทำ “ไม่เป็นไรเราทำได้” จะร้อน จะหนาว ฝนจะเท หิมะจะตก จะปวดหัวตัวร้อน ถ้าหาคนกะอื่นมาทำแทนไม่ได้เราก็ต้องไปเฝ้าโทรศัพท์เผื่อคนโทรมาแจ้ง เวลาส้วมตัน ไม่มีฮีท มีกองอ๊วกในห้องน้ำ ท่อน้ำแตก ฯลฯ แล้วก็เฝ้า alarm อุณหภูมิของห้องแลปต่างๆ
ห้องทำงาน 7 ปีแรก เป็นห้องเล็กๆ ใน shop เหมือนโรงงาน เล็กกว่าห้องน้ำที่บ้านตอนนี้อีกไม่มีหน้าต่างอะไรเลย กว้างเท่าโต๊ะทำงานเหล็กหนึ่งตัว ยาวกว่าตัวเราหน่อย ดึกๆ บางทีก็ยังมีคนงานเดินไปมาเรากลัวก็เลยปิดประตูล็อกขังตัวเองอยู่ในห้อง (เข้าใจความรู้สึกนักโทษเลย) พื้นเป็นปูนฝุ่นเขรอะมีแค่กล่องกระดาษลูกฟูก (ของใครไม่รู้) วางพิงกำแพงไว้ปูนอน (ถ้าจะนอน) เราเลย (พยายาม) ไม่นอน ทำโน่นทำนี่ อ่านหนังสือเอา (เริ่มเล่นเว็บบอร์ด “ไกลบ้าน” บนพันทิป ด้วยเหตุนี้ แต่บางคืนไม่ไหวก็นอนอ่ะนะ)
ทำไปเกือบเทอมหัวหน้ามาบอกเราว่าภาษาเราเป็นปัญหานะ ถ้ายังไม่ดีขึ้นเขาต้องให้เราออก เราเครียดมาก เพราะศัพท์หลายคำเราไม่รู้ เขาบอกชื่อตึกเราก็ไม่เข้าใจเพราะออกเสียงไม่เหมือนที่เราคิด (อย่าง McMahon เราอ่านแมคมาฮอนแต่เขาเรียกแมคแมนเราก็งงว่าตึกไหน) หลังจากนั้นทุกคืนที่ทำงาน เราจะนั่งท่องแผนที่มหาวิทยาลัย เป็นพันเอเคอร์ไม่รู้กี่ร้อยตึกนั่งท่องมันทั้งคืน จะได้รู้ว่าตึกชื่อประมาณนี้สะกดยังไง อยู่ตรงไหน นั่งอ่านใบสั่งงานเก่าที่อยู่ในตะแกรงจะได้รู้ศัพท์ที่เกี่ยวกับปัญหาทั้งหลาย ซึ่งเราก็ได้ทำจนวันสุดท้ายที่อยู่มหาวิทยาลัย
นอกจากสองงานนี้เราก็ทำงานอื่นด้วย เช่น ติวเตอร์เด็ก MBA (ของมหาวิทยาลัยที่เรียนออนไลน์) ช่วยอาจารย์หาข้อมูลเขียนหนังสือหรือใช้ในศาล เราไม่เคยเลือกงาน ใครมีอะไรมาให้ทำเราทำหมด จนถึงทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นงานของ principal economist หรือ secretary ถ้าจำเป็นเราทำหมด
ทำสอง- สามงาน เงินเดือนก็ยังแค่พันกว่าเหรียญ ตรงไหนประหยัดได้ก็ประหยัด สองปี (กว่า) แรกที่นอนเราคือเอาถุงนอนปูนอนบนพื้น จนเพื่อนที่เช่าอพาร์ทเม้นท์อยู่ด้วยกันซื้อเตียงใหม่ยกเตียงเก่ามาให้เราใช้ เราถึงมีเตียงนอน บอกเลยว่าไม่เคยอายถ้าใครจะคิดว่าเราจน (เพราะเราก็จนจริงๆ)
เรื่องเที่ยวไม่ต้องพูดถึง มีแค่รถเก่าๆ ชื่อ “ลักยิ้ม” เพราะ (พี่ขับ) ถูกชนที่ประตูหน้าข้างคนขับแล้วไม่มีปัญญาซ่อมแค่ขับไปไกลก็หวั่นๆ แล้ว นานๆ ทีเก็บตังค์พอเที่ยวได้ก็ไม่มีปัญญานอนโรงแรม ไปกางเต็นท์นอนบ้าง นอนโฮสเทลบ้าง ไม่เป็นไรมีที่นอนก็พอแล้ว
กินข้าวตามร้านอาหารเหรอ บ่อยมาก คือร้าน buffet จีน ด้วยความที่ชอบนอนเช้าตื่นเที่ยงเลยกินวันละมื้อเป็นส่วนใหญ่ บางทีตื่นมาก็ไปกิน buffet กับเพื่อน จนอิ่มแปล้มื้อเดียวอยู่ได้ทั้งวัน
เครียด!! ถ้าสอบไม่ผ่าน “ถูกเชิญออก”
เรียนไปสามเทอมถึงเวลาสอบปราบเซียน คือสอบทฤษฎี Macro กับ Micro ของปริญญาเอกที่เรียกว่า preliminary exam (prelim) ซึ่งจะสอบได้สามครั้ง ถ้าสอบไม่ผ่านทั้งสองตัวในสามครั้งเขาก็จะเชิญให้ออกจากโปรแกรม “เครียดมากอีกแล้ว” เพราะไม่ได้เตรียมเลย
เพื่อนรุ่นพี่ที่สอบกันส่วนมากจะไม่ผ่านและก็มีถูกให้ออกจากโปรแกรมด้วย เลยไปขอเขาสอบเทอมหน้า เขาบอกได้แต่ถ้าไม่สอบจะถือว่าผลการเรียนไม่ได้ตามเกณฑ์ก็จะไม่ได้ GA ต่อ “เครียดกว่าเดิม” โชคดีอีกครั้งที่เพื่อนมาลากไปติวด้วยกัน ผลคือเราเป็นคนเดียวที่สอบผ่านหมดสองตัว เพื่อนที่ติวด้วยผ่านกันคนละตัว แต่ทุกคนก็ยินดีกับเราจริงๆ
เพราะเราสอบ prelim ครั้งเดียวผ่านหมดอาจารย์คงคิดว่าเราจะจบได้เร็ว ที่ไหนได้ผ่านไป 4 ปี เราก็ยังไม่มีวี่แววจะจบ หมดวิชาคณะเราที่ต้องลงแต่ยังไม่มีปัญญาจบเราก็ลงเรียน สถิติ การเงิน GIS อะไรต่อไปจนทางคณะก็เริ่มขู่ว่าให้จบได้แล้วจะเลิกให้ทุนแล้ว (ตอนนั้นคิดว่าคนอื่นมาก่อนเราไม่เห็นไล่เลยอ่ะ!! แต่จริงๆ คือเขาเป็นคนให้ทุน เขามีสิทธิ์ที่จะให้หรือไม่ให้ใครก็ได้)
คือขี้เกียจก็ด้วยส่วนนึง แต่มันเขียนไม่ออกจริงๆ ทุกเทอมก็ต้องลุ้นว่าเขาจะเอาจริงไหม ถ้าเขาไม่ให้ทุน จะทำยังไง ถ้าไม่เรียนอยู่ต่อก็ไม่ได้เพราะวีซ่าจะขาด เครียดมาก จะหันไปบ่น ไปปรึกษา ไปขอให้ใครช่วยก็ไม่มีใครเลย เหมือนอยู่ในอุโมงค์มองไปทางไหนก็มืดสนิทไม่เห็นทางออก depress มาก คิดทางออกได้ทางเดียวคือฆ่าตัวตายจะได้จบๆ ไป
แต่ถ้าทำแบบนั้น พ่อแม่กับอีกคนคงผิดหวังในตัวเรามาก ตอนนั้นมันไม่ใช่อยากทำให้พ่อแม่ภูมิใจแล้ว มันเหลือแค่ไม่อยากทำให้เขาผิดหวังแค่นั้น เราทำเขาผิดหวังมาตลอดชีวิต เราจะทำให้เขาผิดหวังอีกไม่ได้ และไม่ว่าจะยากลำบากจะเครียดแค่ไหน เราจะไม่มีวันให้พ่อแม่ต้องจัดงานศพเราเด็ดขาด
ในทุกปัญหามีทางออก ย้ายคณะไปสิ่งที่เหมาะกับเรามากกว่า?
พอดีกับที่ไปลงวิชาเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมที่อยู่อีกคณะนึงแล้วรู้สึกชอบ เลยไปเลียบๆ เคียงๆ ถามอาจารย์ ว่าขอย้ายมาได้ไหม อาจารย์บอกให้ย้ายมาเลยเขาชอบเรา เขายังมี grant งานวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเขื่อนจาก World Bank เหลืออยู่พอจ้างนักศึกษาได้อีกคน เขาลองให้เราช่วยดูก่อนว่าชอบไหม
ความรู้สึกตอนนั้นก็คือ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นทฤษฎีถูกเอามาใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริง (และเป็นที่มาของการ ไม่สนับสนุนการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ของเรา) เราตกลงย้ายคณะ
ก็เริ่มกันใหม่หมด เขียนใบสมัครเข้าเรียนใหม่ ลงวิชาเอกกันใหม่ สอบ prelim, general exam ใหม่ ส่วนวิชาอื่นที่ต้องใช้มีเกินพอแล้ว และก็เลยได้มีโอกาสเรียนกับคนร่วมเขียนหนังสือ Econometrics ในตำนานอีกคน (แต่เล่มนี้แอบอ่านยาก)
ใช้เงิน World Bank อยู่ปีนึงก็หมดโปรเจ็ค เราก็กลับมาได้ GA จากคณะก็เริ่มเจอกดดันให้จบเหมือนเดิม จนสิ้นปีที่ 3 คณะก็บอกว่าไม่ให้ทุนแล้ว คราวนี้เขาเอาจริงถึงวันที่ออกจดหมายให้ทุนเราไม่ได้ เครียดมากอีกแล้ว นั่งคิดว่า “เกือบสิบปีที่เราอยู่ตรงนี้มามันคงจบแค่นี้แล้ว” แต่ก็ยังพยายามหาทาง ตัดสินใจไปปรึกษา International Advisor ว่าจะมีวิธีอยู่ต่อได้ไหม เขาบอกว่าอาจจะขอใบอนุญาตทำงานนอกมหาวิทยาลัยภายใต้เงื่อนใข economic hardship ได้
มองหางานนอกมหาวิทยาลัย ไปได้งานสอน part-time ที่มหาวิทยาลัยที่เพื่อนสอน ระยะทางห่างออกไปสองชั่วโมงกว่า ส่งเอกสารขอใบอนุญาตทำงานไปไม่กี่อาทิตย์ให้หลังได้คำตอบมาว่า “ไม่ผ่าน” เพราะส่งเอกสารไม่ครบ เขาต้องการเอกสารรายรับ/จ่ายของเราถึงจะพิจารณาอีกที
พอเรากำลังพยายามทำเอกสารงานสอน part-time คณะก็ปราณีบอกว่าจะให้ทุนอีกเทอมเดียวหลังจากนั้นถ้ายังไม่จบก็ตัวใครตัวมัน เลยไม่ทำงานข้างนอกตั้งใจจะให้จบพร้อมกับเริ่มหางานจริงๆ จังๆ จับพลัดจับผลูได้งาน 2 ที่ เป็นงานรัฐบาลกับงานเอกชน
“making a difference” ตัดสินใจเลือกทำงานรัฐบาล
เราคิดอยู่หลายวันก็เลือกงานรัฐบาลถึงเงินเดือนจะน้อยกว่าพอสมควร เพราะคำถามของเพื่อนคนนึงและหัวหน้าที่สัมภาษณ์เราว่าเราอยาก “making money or making a difference” และที่เรามาถึงวันนี้ได้ก็เพราะภาษีคนอเมริกัน ก็ถือว่าทำงานใช้ทุนไปด้วย นั่นคือจุดจบของชีวิตนักเรียนกว่าสิบปีของเรา
จากวันแรกที่หนีปัญหามาถึงวันนี้ก็ 30 ปีพอดี ทุกวันนี้เราไม่อยากได้อยากมีอยากเป็นอะไรมากกว่าที่เป็นอยู่แล้ว เพราะเรามีความสุขและมีสิ่งที่จำเป็นเกินพอแล้ว เราพูดได้เต็มปากว่าถ้าพรุ่งนี้เราต้องเสียทุกอย่างที่เรามีเราก็ไม่เสียใจ เพราะครั้งนึงเราเคยได้ทำในสิ่งที่เราตั้งใจ ได้ทำงานที่เรารัก ได้มีชีวิตอย่างที่เราอยากเป็น ชีวิตที่เราพูดได้เกือบเต็มปากว่าเราสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง หลายคนไม่เคยมีโอกาสแม้แต่จะพยายามทำ ในสิ่งที่ตัวเองชอบ
และในวันที่เรามีเงินในบัญชีแค่สองหลัก วันที่ภาษาอังกฤษห่วยแตก ในวันที่เราไม่มีความรู้ความสามารถ ไม่มีเพื่อนฝูง ไม่มีประสบการณ์ ไร้ซึ่งวุฒิภาวะ ในวันที่จะสุข จะทุกข์ จะหัวเราะ จะร้องให้ จะมีปัญหาจะมากมายแค่ไหนก็มีแค่เรากับตัวเองเรายังผ่านมันมาได้ ต่อจากนี้ไปก็คงไม่มีอะไรที่จะผ่านไปไม่ได้หรอก (มั้ง)
“ปริญญาเอก” ความภูมิใจที่ทำให้พ่อแม่ไม่ผิดหวัง
เราไม่เคยภูมิใจว่าเราจบเอกเพราะการศึกษาไม่ใช่สิ่งที่วัดคุณค่าใคร หลายคนมองว่าเรามาอยู่ตรงนี้ได้ เพราะเราโชคดี เรามีตังค์ เราเก่ง เราฉลาด เราไม่เคยรู้สึกดีเวลาใครพูดแบบนั้น (แล้วถ้าอ่านถึงตรงนี้ ทุกคนคงรู้แล้วว่าเราไม่ได้เก่งอะไรเลย) เพราะมันเป็นการดูถูกความพยายามของเรา
และจริงๆ การจบเอกนั้นไม่จำเป็นต้องเก่งหรือฉลาด ถ้าคุณมีเงินและเวลาพอใครๆ ก็จบได้ (เรากล้าพูด เพราะถึงเราจะไม่ได้จบมหาวิทยาลัยท็อปแต่ก็ไม่ใช่มหาวิทยาลัยห้องแถว) และถึงจะไม่มีเงินคุณก็จบได้ถ้าอยู่ถูกที่ ถูกเวลา และมีความพยายามมากพอ สิ่งที่ปริญญาเอกบอกคือ คนๆ นั้นมีโอกาสและ (อาจจะ) มีความพยายามมากกว่าคนอื่นเท่านั้น
สิ่งที่เราภูมิใจคือครั้งนึงในชีวิตเราไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เรามีความพยายามพอที่จะไม่ give up และส่งตัวเองเรียนจนจบได้ (จริงๆ ไม่ทั้งหมด มีที่ขอพ่อแม่ช่วงปีแรกๆ) และจากคนที่เกลียดและกลัวภาษาอังกฤษ เราสามารถมีสัมมาอาชีพ มีชีวิตที่มีความสุขในที่ๆ ใช้แต่ภาษาอังกฤษได้
ขอบคุณครอบครัว-อาจารย์-เพื่อน
ทั้งหมดนี้เราไม่ได้เขียนเพื่อให้ใครเห็นใจว่าเราลำบาก เพราะทุกคนล้วนมีปัญหามีช่วงเวลาที่ลำบากกันทั้งนั้น และก็มีคนที่ลำบากกว่าเราอีกเยอะ เราแค่อยากแชร์สิ่งที่เราผ่านมาเผื่อจะเป็นประโยชน์ และสร้างความเข้าใจที่ถูกต่อใครบ้าง
ทั้งหมดนี้เราต้องขอบคุณพ่อแม่ พี่ๆ เราทุกคนที่ให้โอกาสเราทำตามฝันอย่างไม่มีวันหมดอายุ เราโชคดีที่มีพวกเขาเป็นตัวอย่างที่ดีให้เราเดินตามเราถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ เราอยากทำให้ดีกว่านี้นะ แต่เราทำได้แค่นี้จริงๆ
ขอบคุณเพื่อนๆ และอาจารย์ที่ UCONN ทุกคนที่ถึงเราจะทำไม่ได้อย่างที่เขาคาดไว้ในตอนแรก แต่ก็ยังบอกเราว่าเขาเชื่อในตัวเราและให้ทุนเราเรียนมานานแสนนาน ขอบคุณที่บอกเราว่า “if you put your mind on something you can do it, and you can do it well” ถึงเราจะรู้ว่ามันจะไม่จริง
ขอบคุณเพื่อนๆ ที่เมืองไทย (โดยเฉพาะเพื่อนอ๋อย ที่ลำบากกับเรามา) ที่คอยหยิบยื่นความเป็นเพื่อนให้เสมอ แม้ในเวลาที่เราไม่มีอะไรเลยแม้แต่ตัวเอง เราเข้าใจคำว่าเพื่อนแท้ก็เพราะพวกเขา
ขอบคุณความเกลียดของคนๆ หนึ่งที่ทำให้เราอยากเป็นคนที่ดีขึ้น ขอบคุณความทรงจำและความฝันที่ช่วยดันให้เราผ่านเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตมาได้ และทำให้เราเปลี่ยน จากคนที่เราเกลียดที่สุดมาเป็นคนที่พบความสงบในตัวเอง ถ้าโชคดีเราคงได้เจอกันอีกในงานศพคนใดคนนึงนะ
ขอบคุณทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ว่าคุณจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นหรือแย่ลง เพราะการผ่านอะไรที่แย่ๆ มันทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะทำได้เราก็ได้รู้ว่ามันไม่เกินความพยายาม และมันทำให้เราเห็นคุณค่าและมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตที่เราเคยมองข้ามไป
สุดท้ายนี้ เราอยากให้ทุกคนรู้ว่าถ้าคุณยังมีเตียงนอนทุกคืน มีรถขับ ไปกินอาหารตามร้านได้ แม้จะเดือนละครั้ง มีบ้านอยู่ มีงานทำ โดยที่ไม่เคยต้องกังวลว่าพรุ่งนี้คุณจะยังมีมันไหม ถ้าไม่เคยมีวันไหน ที่ความคิดแรกตอนตื่นเช้าและความคิดสุดท้ายก่อนเข้านอนของคุณ คือเดือนหน้าเราจะไปอยู่ที่ไหน แล้วคุณยังรู้สึกว่าชีวิตคุณลำบาก มันไม่ใช่เพราะคุณลำบากหรอก แต่เป็นเพราะคุณไม่เคยลำบากต่างหาก และอย่าตัดสินใครจากสิ่งที่เขามีหรือเป็น เราควรดูด้วยว่าเขาได้มันมายังไง”
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ค่ะ บทความหน้าจะพยายามหาเรื่องที่สนุกกว่านี้มาเล่านะคะ
ปล. นามปากกา 2 Cents นี้มาจากการตอบกระทู้ในพันทิปสมัยแรกๆ เราตอบเป็นภาษาอังกฤษและมักจะลงท้ายว่า “just my 2 cents” ซึ่งแปลประมาณว่า “นี่เป็นแค่ความเห็นของฉัน” บ่อยๆ เข้าก็เลยใช้ 2 Cents เป็นชื่อ เราเคยใช้นามปากกานี้ในเว็บพันทิปช่วงแรกๆ (ประมาณปี 1997 ถึงปี 2000 ต้นๆ) และเว็บบอร์ดเลสล่า ถ้าใครเคยเห็นแปลว่าเราเคยเจอกันมาแล้วนะคะ