เอลวา หวัง ผู้อำนวยการกลุ่มประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และเอเชียกลาง ทรินาโซลาร์ เอเชียแปซิฟิก
จากที่ประชุมภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP29) เมื่อปลายปี 2567 ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและพลังงานแสงอาทิตย์ ในบริบทของความพยายามที่จะรับมือกับวิกฤตเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้การลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิลและการส่งเสริมพลังงานสะอาดกลายเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ในการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายในความตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่จะควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่เพียงแต่เป็นแนวทางเชิงนโยบายของระดับโลก แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญในการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์พลังงานสะอาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากก่อนหน้านั้นที่เน้นที่การพัฒนาโซลูชันเทคโนโลยีเฉพาะด้าน แต่ปัจจุบันเรากำลังก้าวสู่การวางแผนพัฒนาพลังงานในแบบองค์รวม วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีนี้ก่อให้เกิดโอกาสใหม่ๆ อีกมาก โดยเฉพาะด้านการบูรณาการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ควบคู่กับระบบกักเก็บพลังงาน (Solar PV+ BESS) ซึ่งช่วยให้ระบบพลังงานมีเสถียรภาพและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์พลังงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในปัจจุบัน ความต้องการไฟฟ้าในภูมิภาคนี้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากรายงานแนวโน้มพลังงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปี 2567 (Southeast Asia Energy Outlook 2024) ขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) พบว่า ตั้งแต่ปี 2553 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครองสัดส่วนการใช้พลังงานถึง 11% ของความต้องการพลังงานทั่วโลก และคาดว่าความต้องการพลังงานจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 25% ภายในปี 2578 ความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ เป็นผลมาจากปัจจัยหลายด้าน อาทิเช่น การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การเพิ่มขึ้นของประชากร และบทบาทของภูมิภาคในการเป็นศูนย์กลางการผลิตและอุตสาหกรรมระดับโลก
สำหรับประเทศไทยนั้น สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน คาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าของไทยในปี 2568 อยู่ที่ระดับ 261,100 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) มีอัตราการเติบโตที่ 3.4% ต่อปีและคาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มเป็น 303,138 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh)ในปี 2573 และ 348,302 กิกะวัตต์ชั่วโมงในปี 2578
ขณะเดียวกันประเทศไทยกำลังแก้ไขกรอบการกำกับดูแลเกี่ยวกับการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่พักอาศัย โดยคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงกระบวนการขออนุญาตและอำนวยความสะดวกในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่พักอาศัยให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการรวมขั้นตอนการขออนุญาตติดตั้งทั้งหมดไว้ที่กระทรวงพลังงาน ช่วยลดคอขวดและความซับซ้อนในการพิจารณา ส่งผลให้การติดตั้งสะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น ส่งผลให้ตลาดมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
กลยุทธ์ที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการเพิ่มขึ้นของการความต้องการไฟฟ้า คือการบูรณาการระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเข้ากับยุทธศาสตร์ด้านพลังงานของประเทศ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจากการที่ต้นทุนเฉลี่ยในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น มาเลเซีย ไทย และอินโดนีเซีย ลดลงอย่างมาก
อย่างไรก็ตามเมื่อมีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มสูงขึ้น ก็เกิดความท้าทายใหม่ๆ ควบคู่กัน เช่น ความไม่เสถียรของโครงข่ายไฟฟ้า (intermittency) การจำกัดการผลิตไฟฟ้า (curtailment) ปัญหากริดเต็ม และการสูญเสียความสมดุลในการผลิตไฟฟ้า ปัญหาเหล่านี้ส่งผลต่อความเร็วและเสถียรภาพของระบบ และยังตอกย้ำถึงความจำเป็นในการจัดการพลังงานแบบบูรณาการ เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการโครงข่ายไฟฟ้า และสร้างความมั่นใจในความเสถียรของระบบจ่ายไฟฟ้า
การเปลี่ยนผ่านจากการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ไปสู่การจัดการอัจฉริยะแบบบูรณาการ
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ในทุกด้าน ทำให้การจัดการโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์และระบบกักเก็บพลังงานมีความยืดหยุ่น มีความเสถียร และมีประสิทธิภาพ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ระบบควบคุม และซอฟต์แวร์อัจฉริยะ เป็นโซลูชันที่สามารถจัดการกับระบบที่มีความซับซ้อนได้เป็นอย่างดี ประเทศชั้นนำ อย่างอินเดีย ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ได้ริเริ่มโครงการติดตั้งระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ควบคู่กับระบบกักเก็บพลังงานขนาดใหญ่แล้ว ด้วยการบูรณาการโซลูชันเหล่านี้เข้ากับนโยบายภาครัฐ และการประมูลโครงการ ขณะที่อีกหลายประเทศ กำลังมองหาโซลูชันการประยุกต์ใช้พลังงานแบบกระจายศูนย์ (DERs) และผลักดันให้เกิดการซื้อขายพลังงานข้ามพรมแดน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งพลังงานจากแหล่งพลังงานสะอาดไปยังพื้นที่ที่มีความต้องการ รวมถึงการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ประเทศ
ก้าวสู่เทคโนโลยีพลังงานอัจฉริยะแห่งอนาคต
เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนไปของตลาด ทรินาโซลาร์จึงได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนไปของตลาด จากที่เป็นผู้นำในการผู้ผลิตโมดูล Solar PV คุณภาพสูงในระยะเริ่มต้นสู่การเป็นผู้นำในการวิจัยและพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน นวัตกรรมล่าสุดอย่าง Elementa 2 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการพัฒนาดังกล่าว ระบบกักเก็บพลังงานของทริน่าโซลาร์ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานพลังงานสะอาด การจัดการพลังงาน และลดการใช้พลังงานของภาคอุตสาหกรรม ระบบกักเก็บพลังงานรุ่นใหม่นี้ มีประสิทธิภาพในการกักเก็บพลังงานได้หลายชั่วโมง และยังสามารถผนวกรวมเข้ากับโครงสร้างพื้นฐาน และโครงข่ายไฟฟ้าที่มีอยู่ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นวัตกรรมในฐานะแรงขับเคลื่อนหลักของอุตสาหกรรม
ที่ทรินาโซลาร์ให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรม ซึ่งเป็นหัวใจของความสำเร็จและความก้าวหน้าของภาคอุตสาหกรรม การพัฒนาเซลล์เพอรอฟสไกต์แทนเดม (perovskite tandem cells) ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานสูงกว่าเซลล์ในปัจจุบัน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมของทริน่าโซลาร์ ขณะที่การบูรณาการเทคโนโลยี i-TOPCon เข้ากับโมดูลพลังงานแสงอาทิตย์รุ่นล่าสุด ยังตอกย้ำถึงความทุ่มเท ในการขับเคลื่อความก้าวหน้าของอุตสาหกรรม และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโมดูลให้คุ้มค่ามากขึ้น นอกจากนี้เรายังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง เช่น โมดูล Shield ซึ่งเป็นโมดูลที่ ได้รับการออกแบบมาให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย เช่น พื้นที่ลมแรง หิมะตก หรือเผชิญกับพายุ เพื่อให้มั่นใจถึงประสิทธิภาพที่ไว้วางใจได้ในทุกสภาพอากาศ
นอกจากนี้เรายังมีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม เช่น NTU และ A*STAR ในสิงคโปร์ เพื่อพัฒนาและทดสอบวัสดุขั้นสูง แบบจำลองที่มีการวิเคราะห์ด้วย AI และระบบบริหารการจัดการพลังงานแบบบูรณาการ (EMS) ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญต่อการนำนวัตกรรมไปประยุกต์ใช้จริงในเชิงธุรกิจ เพื่อให้มั่นใจว่านวัตกรรมจะถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
สำหรับประเทศไทย ทรินาโซลาร์ นำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงานแสงอาทิตย์ระดับโลก เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านภาคพลังงานของไทย เช่น โมดูล Vertex N i-TOPCon Ultra ซึ่งใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยการผลิตไฟฟ้ามีความคุ้มค่าสูงสุด นั่นทำให้ทรินาโซลาร์เป็นผู้นำด้านโซลูชันพลังงานอัจฉริยะในประเทศไทย
นอกจากนี้ระบบกักเก็บพลังงาน Elementa 2 Pro และโซลูชันสำหรับที่พักอาศัยก็เป็นนวัตกรรมสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านภาคพลังงานของไทยสู่พลังงานสะอาดทั้งในระดับผู้ผลิตไฟฟ้า ระดับอุตสกรรมและภาคธุรกิจ จนถึงระดับที่พักอาศัย ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย เพื่อให้มั่นใจถึงประสิทธิภาพ ความเสถียร และความยั่งยืนในระยะยาว
การเปลี่ยนผ่านพลังงานต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการผลักดันนโยบายจากทางภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน ผู้ผลิต และสถาบันวิจัย สำหรับทรินาโซลาร์ “Solar Energy for All” หรือพลังแสงอาทิตย์เพื่อทุกคน เป็นพันธกิจหลักที่ผลักดันให้ทริน่าโซลาร์ขับเคลื่อนนวัตกรรม ส่งเสริมความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ และสนับสนุนความพยายามในการนำระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ไปใช้งานอย่างจริงจัง ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ภายใต้ความพยายามร่วมกันที่จะสร้างภูมิทัศน์ด้านพลังงานที่มีความเท่าเทียม ยืดหยุ่น และยั่งยืนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยแรงผลักดันจากนวัตกรรม การบูรณาการระบบเข้าด้วยกัน และความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละเพื่ออนาคตพลังงงานสะอาดที่ยั่งยืน