Home » ซีอีโอ 4 องค์กรใหญ่ถอดบทเรียน “การปรับตัว” ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลก สู่เส้นทางธุรกิจยั่งยืน

ซีอีโอ 4 องค์กรใหญ่ถอดบทเรียน “การปรับตัว” ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลก สู่เส้นทางธุรกิจยั่งยืน

โดย Reporter 1
111 views

โลกกำลังเผชิญภาวะวิกฤตที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งเศรษฐกิจผันผวน ภูมิรัฐศาสตร์ตึงเครียด ความไม่แน่นอนด้านพลังงาน และวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของสังคม นี่คือโจทย์ท้าทายที่ทุกองค์กรธุรกิจต้องตอบให้ได้ว่า จะปรับตัวอย่างไรให้รอดจากมหาพายุเศรษฐกิจโลก และสามารถยืนหยัดสร้างการเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

บนเวที CEO Panel ภายในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) ซีอีโอจาก 4 องค์กรชั้นนำด้านความยั่งยืนของประเทศไทย ได้ร่วมถอดบทเรียนการบริหารในยุคโลกเปลี่ยนอย่างไม่หยุดนิ่ง พร้อมแบ่งปันแนวคิด กลยุทธ์ และมุมมองการนำองค์กรสู่ความแข็งแกร่งอย่างสมดุล ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อให้ภาคธุรกิจไทยสามารถก้าวผ่านความไม่แน่นอน และขับเคลื่อนไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด กล่าวถึง “การปรับตัวขององค์กรไทย” ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกว่า การที่สองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีนต่างขยับนโยบายทางการค้า ทำให้โครงสร้างซัพพลายเชนโลกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

สหรัฐฯ เดินหน้าแนวทาง “ทวนกระแสโลกาภิวัตน์” (Deglobalization) ผ่านนโยบายคุ้มครองทางการค้า (Protectionism) เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ขณะที่จีนกลับผลักดันโลกาภิวัตน์ (Globalization) ด้วยการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งกลายเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยที่สามารถดึงดูดนักลงทุนให้ย้ายฐานการผลิตมายังนิคมอุตสาหกรรมไทยมากขึ้น

และมองว่าไทยควรใช้โอกาสนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว ด้วยการผลักดันให้ประเทศกลายเป็นศูนย์กลาง “Green Financing” หรือการระดมทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม ภาครัฐสามารถจัดตั้งกองทุนเพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติ รวมถึงสนับสนุนผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ให้สามารถปรับตัวสู่ธุรกิจสีเขียวได้อย่างแท้จริง ทั้งด้านการอัปเกรดเทคโนโลยีโรงงาน มาตรฐานการผลิต และการบริหารจัดการที่ตอบโจทย์ตลาดโลกในอนาคต

ในมุมของการพัฒนาองค์กร คุณศุภชัยเน้นว่า “เทคโนโลยีและนวัตกรรม” คือเครื่องมือสำคัญที่องค์กรต้องเร่งปรับตัว โดยเฉพาะการนำ AI เข้ามาช่วยยกระดับกระบวนการทำงาน การผลิต และการบริหารจัดการข้อมูล เพื่อให้โรงงานไทยก้าวสู่ยุค “โรงงานอัจฉริยะ” (Smart Factory) พร้อมรับมือยุค “Unmanned” ที่โลกจะใช้เทคโนโลยีแทนแรงงานมากขึ้น เขาย้ำว่าองค์กรต้อง “กลับเข้าห้องเรียน” (Back to School) เพื่อเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้ทดลอง คิดค้น และเชื่อมโยงการเรียนรู้ระหว่างแล็บภายในกับเครือข่ายนวัตกรรมทั่วโลก ซึ่งจะช่วยเร่งกระบวนการทรานส์ฟอร์มให้เกิดผลจริง

นอกจากนี้ ยังเสนอให้ภาคธุรกิจสร้างความร่วมมือระหว่างกันมากกว่าการแข่งขัน เพราะในโลกยุคใหม่ “คู่แข่งอาจเป็นอาจารย์ที่สอนเราได้ดีที่สุด” องค์กรไทยต้องเชื่อมโยงความรู้และทรัพยากรกับผู้ประกอบการต่างประเทศและสถาบันการศึกษา โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยซึ่งเต็มไปด้วยคนรุ่นใหม่ที่กล้าคิดและอยากเรียนรู้ ธุรกิจควรเปิดโอกาสให้เยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมในการวิจัยและทดลองจริง เพื่อสร้าง “แล็บขนาดใหญ่ของประเทศ” ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนให้คนรุ่นใหม่มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน

คุณธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวบนเวที CEO Panel งาน Sustainability Expo 2025 ว่า โลกธุรกิจกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการปรับนโยบายของประเทศมหาอำนาจ เช่น การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา

ซึ่งกลายเป็นแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ที่สุดและคาดไม่ถึงในรอบหลายทศวรรษ การเปลี่ยนจาก “โลกที่มีกติกา” มาเป็น “โลกที่ไร้กติกา” บังคับให้ผู้ประกอบการต้องตั้งคำถามใหม่ว่า จะอยู่รอดและแข่งขันได้อย่างไรในสภาวะที่กฎเกณฑ์ทางการค้าถูกฉีกทิ้งอย่างไม่อาจคาดเดา

คุณธีรพงศ์เล่าว่า ตลอดเส้นทาง 37 ปีในธุรกิจอาหารทะเลของไทยยูเนี่ยน ซึ่งกว่า 90% ของตลาดคือการส่งออก โดยมีสัดส่วนรายได้จากอเมริกาถึง 40% และยุโรป 30% ธุรกิจต้องเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง ทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ดอกเบี้ยสูง ภาวะเงินเฟ้อ สงครามรัสเซีย–ยูเครน และล่าสุดกับมาตรการภาษีของสหรัฐฯ เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ตระหนักว่า “ประสบการณ์เดิมใช้ไม่ได้อีกต่อไป” เพราะโลกธุรกิจวันนี้เต็มไปด้วยสิ่งใหม่ที่ต้องเรียนรู้และรับมืออย่างไม่หยุดนิ่ง

ปัจจัยด้านนโยบายรัฐมีความสำคัญอย่างมากต่อการเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการต่อรองภาษีนำเข้าซึ่งเป็นเรื่องระหว่าง “รัฐกับรัฐ” แต่ในมุมของภาคธุรกิจ หากไม่สามารถพึ่งพาภาครัฐได้เต็มที่ องค์กรก็ต้องกลับมาทบทวนการทำงานภายในของตัวเองทั้งหมด ต้องสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และเรียนรู้ที่จะปรับตัวอย่างต่อเนื่องตามบริบทของโลก พร้อมเตรียมแผนบริหารความเสี่ยง และพัฒนาเทคโนโลยี บุคลากร และนวัตกรรมให้พร้อมรับเทรนด์ใหม่ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ

ไทยยูเนี่ยนได้ปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ที่สุดเมื่อปีที่ผ่านมา เพื่อทำให้องค์กร “ยืดหยุ่นและคล่องตัว” มากขึ้น รองรับความผันผวนที่เกิดขึ้นในระดับโลก พร้อมย้ำว่า เหตุการณ์การขึ้นภาษีของอเมริกาเปรียบเสมือน “wake-up call ครั้งใหญ่” ที่สะท้อนว่า โลกธุรกิจไม่มีอะไรแน่นอนอีกต่อไป สิ่งเดียวที่องค์กรต้องทำคือเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์—even the unimaginable—และปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงก่อนที่มันจะมาถึง

คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี จำกัด (มหาชน) กล่าวบนเวที CEO Panel งาน Sustainability Expo 2025 ว่า ปัจจุบันระบบซัพพลายเชนของโลกกำลังถูกท้าทายอย่างรุนแรงจากนโยบายทางการค้าของประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะ “นโยบายภาษีสวมสิทธิ” (Transshipment Policy) ของสหรัฐอเมริกา ที่กำหนดเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 40% หากใช้วัตถุดิบภายในประเทศน้อยกว่า 50% นโยบายนี้กำลังกลายเป็นตัวกำหนดทิศทางการออกแบบซัพพลายเชนใหม่ทั่วโลก และสร้างแรงกดดันต่อผู้ผลิตในหลายประเทศ รวมถึงไทยที่ต้องเร่งปรับโครงสร้างการผลิตและการจัดหาวัตถุดิบให้ยืดหยุ่นมากขึ้น

โดยเตือนว่า ภาวะ “ความไม่แน่นอนทางนโยบาย” เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลสหรัฐฯ ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา “วันนี้ภาษีอาจอยู่ที่ 40% แต่อีก 3 เดือนข้างหน้าอาจกลายเป็น 60% ก็ได้” คุณธรรมศักดิ์กล่าว พร้อมย้ำว่า องค์กรธุรกิจต้องออกแบบซัพพลายเชนให้มี “ความยืดหยุ่น” เผื่อรับมือทุกความผันผวน เพราะไม่สามารถปรับตัวได้ทันภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน หากต้องการอยู่รอดในระยะยาว ซัพพลายเชนของไทยต้องแข็งแรง คล่องตัว และพร้อมเชื่อมโยงกับเครือข่ายระดับโลกอย่างรวดเร็ว

คุณธรรมศักดิ์ยังเรียกร้องให้ทุกองค์กรในเครือข่าย Thailand Supply Chain Network (TSCN) จับมือกันขับเคลื่อนไปสู่ “Green Supply Chain” อย่างจริงจัง โดยไม่จำเป็นต้องเริ่มจากศูนย์หรือ “ลองผิดลองถูก” ซ้ำเดิม แต่ควรแบ่งปันองค์ความรู้และผลลัพธ์ของกันและกัน เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและศักยภาพของซัพพลายเชนไทยทั้งระบบให้พร้อมแข่งขันในตลาดโลกยุคใหม่ ซึ่งความร่วมมือจะเป็นกุญแจสำคัญสู่การเปลี่ยนผ่านอย่างยั่งยืน

สำหรับเอสซีจี กำลังเร่ง “ทรานส์ฟอร์มองค์กร” อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและรับมือกับพายุเศรษฐกิจที่ยังคงถาโถมเข้ามา โดย“เรารู้ดีว่าปัญหาจะยังคงมีอีกมากในอีก 1–2 ปีข้างหน้า แต่ถ้าเราถอดบทเรียน ปรับตัวเร็ว และลงทุนในสิ่งที่ใช่ เราก็จะสร้างเครื่องยนต์ใหม่ (New Engine) แห่งการเติบโตได้” พร้อมเน้นว่า ความยืดหยุ่นและความเข้มแข็งขององค์กร คือเกราะป้องกันสำคัญที่จะพาเอสซีจีและภาคอุตสาหกรรมไทยฝ่าคลื่นเศรษฐกิจโลกไปได้อย่างมั่นคง

คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานอำนวยการจัดงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวบนเวที CEO Panel ว่า “โลกวันนี้เปลี่ยนไปอย่างแท้จริง” และเป็นยุคที่ผู้ประกอบการไม่สามารถอยู่รอดได้ด้วยการทำงานเพียงลำพัง การปรับตัวและการสื่อสารจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง “เราต้องพูดคุยกันให้มาก ปรับตัวให้มาก”

เพื่อสร้างศักยภาพการแข่งขันและความยั่งยืนในระยะยาว โดยเฉพาะการร่วมมือกันระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ตามหลักการของ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนข้อที่ 17 (Partnerships for the Goals) ของสหประชาชาติ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตท่ามกลางความผันผวนของโลก

ความท้าทายของโลกยุคนี้อยู่ที่ “ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจคาดเดาได้” สิ่งที่เคยเป็นจุดแข็งในอดีตอาจกลายเป็นจุดอ่อนในวันนี้ การที่โลกเคลื่อนไปเร็วกว่าเดิมทำให้ธุรกิจที่เคยมั่นคงกลับกลายเป็นขยับช้า ผู้บริหารทุกคนจึงต้องเรียนรู้ที่จะ “ตัดสินใจให้เร็วและถูกทาง” (Make good decision quickly) เพราะการตัดสินใจคือหัวใจของการเปลี่ยนแปลง ยิ่งกล้าตัดสินใจเร็ว องค์กรก็จะยิ่งพร้อมปรับตัวได้เร็ว แต่ในขณะเดียวกันต้องคำนึงถึงผลกระทบที่ตามมาให้อยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้

คุณฐาปนยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของ “การร่วมมือในอุตสาหกรรมเดียวกัน” ซึ่งมักเกิดขึ้นน้อยในประเทศไทย เขาเสนอให้ผู้ประกอบการหันมาจับมือกันสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ไม่ใช่แข่งขันกันเพียงอย่างเดียว เพราะหากรวมตัวกันเป็น consortium จะสามารถต่อยอดสู่ตลาดใหม่ ๆ และขยายโอกาสได้มากขึ้น

เช่นเดียวกับเครือข่าย Thailand Supply Chain Network (TSCN) ที่ต้องมองหาวิธีเชื่อมโยงและเสริมกำลังกันเพื่อสร้างซัพพลายเชนที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ทั้งนี้ เขายังชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของระบบความร่วมมือในประเทศว่า มหาวิทยาลัยไทยยังคุยกันน้อย ต่างคนต่างทำ ทั้งที่หลายแห่งเซ็น MOU กับต่างประเทศมากมาย แต่กลับไม่เชื่อมโยงกันเองในประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรได้รับการแก้ไข

นอกจากนี้ ยังยกตัวอย่างให้เห็นถึงความแตกต่างของรูปแบบการลงทุน โดยกล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติ เช่น ญี่ปุ่นหรือจีน มักเข้ามาลงทุนในไทยเป็น “ทีม” มีการเชื่อมโยงกันทั้งซัพพลายเชน ขณะที่นักลงทุนไทยส่วนใหญ่ยังคงทำธุรกิจแบบ “ลุยเดี่ยว” และการรวมตัวมักเกิดขึ้นเฉพาะกิจเท่านั้น เขามองว่า การเสริมสร้างความร่วมมือในระดับอุตสาหกรรมจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ไทยมีพลังในการเจรจาและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

พร้อมทิ้งท้ายด้วยหลักคิดแห่งความเพียรที่น้อมนำจากพระราชปรารภในบทพระราชนิพนธ์ พระมหาชนก ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ว่า “จงมีความเพียรอันบริสุทธิ์ ปัญญาที่เฉียบแหลม และกำลังกายที่สมบูรณ์” ซึ่งจะเป็นพลังแห่งการสร้างสรรค์ที่นำพาทั้งองค์กรและประเทศไปสู่ความเจริญอย่างแท้จริง

#SX2025 #SustainabilityExpo2025 #SufficiencyforSustainability #พอเพียงยั่งยืนเพื่อโลก

You may also like

The-Perspective แหล่งรวมองค์ความรู้ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ เกาะติดข่าวสารคาดการณ์อนาคต

Tel:  081-619-9494
Email:
editor@the-perspective.co
naiyanaone@gmail.com

Total Visit:

315,483

315,483

Editors' Picks

Latest Posts

The-Perspective © All Right Reserved.

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการใช้งานของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อเก็บข้อมูลและรวบรวมสถิติวิจัยทางด้านการตลาด การวิเคราะห์แนวโน้ม ตลอดจนนำมาปรับปรุง และควบคุมการทำงานของเว็บไซต์ ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอม ท่านยังสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้ปกติ ยอมรับทั้งหมด