บทความโดย รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอุบัติใหม่ (Thought Leader in Emerging Technologies)
Key Takeaway:
- งานสืบค้นเนื้อหา ใช้ Perplexity หรือ Grok เพื่อลด Hallucination และเพิ่มความแม่นยำด้วยการตรวบสอบได้จากแหลงอ้างอิง
- งานสร้างสรรค์เนื้อหา ภาพ และคลิป เลือกใช้ ChatGPT 5.1, Claude 4.5 และ Gemini 3 เหมาะกับการคิดสร้างสรรค์ มีมุมมองที่แปลกใหม่ ส่วนการสร้างภาพ/วิดีโอ เลือก Sora 2
เมื่อผมเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ หรือไปพบปะผู้คน ผมมักได้รับคำถามอยู่เสมอว่า “อาจารย์เลือกใช้ AI ตัวไหนที่ดีที่สุด?”
คำตอบของผมสำหรับตอนนี้และในปี 2026 คือ “ไม่มี AI ตัวใดที่ดีที่สุดในทุกด้าน แต่มีเพียง AI ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับบริบทของงานนั้นๆ”
ในวันนี้ ผมจึงนำมาแบ่งปันแนวคิดในการคัดเลือกเครื่องมือ AI เพื่อฉายภาพให้เห็นว่า เหตุใดผมจึงลงทุนสมัครสมาชิกบริการ AI หลากหลายค่าย และไม่ยึดติดกับแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีกว่าในยุคปัจจุบัน
แนวคิดการประยุกต์ใช้ AI ของผมได้พัฒนาจาก “ผู้ใช้งาน“ เครื่องมือเพียงตัวเดียวในยุคเริ่มต้น มาสู่การเล่นบท “วาทยากร” (Conductor) โดยที่เครื่องมือแต่ละตัวที่มีอัตลักษณ์และจุดเด่นที่แตกต่างกัน ผมจึงใช้กลยุทธ์แบบผสมผสานโดยจำแนกตามวัตถุประสงค์การใช้งานออกเป็น 4 ด้านหลัก ดังนี้
1. “AI เพื่อการสืบค้นและคลังความรู้”
ในยุคแห่งข้อมูลข่าวสารมหาศาล ความถูกต้องแม่นยำคือหัวใจสำคัญ สำหรับภารกิจที่ต้องการข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้ ผมจะลดการใช้งาน AI สาย Generative ที่เน้นการสร้างสรรค์เนื้อหา แต่จะหันไปใช้บริการเครื่องมือ Perplexity และ Grok เป็นหลัก
เครื่องมือทั้งสองนี้มีจุดแข็งที่โดดเด่นคือการระบุแหล่งที่มา (Citation) อย่างชัดเจน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงเรื่อง “การตอบที่หลอน” (Hallucination) ได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้สามารถทวนสอบข้อมูลกลับไปยังต้นทางได้อย่างมั่นใจ
ในขณะที่งานวิจัยเชิงลึกซึ่งต้องประมวลผลเอกสารจำนวนมาก ผมเลือกใช้ Gemini 3 ในโหมด Deep Research ที่มีความสามารถในการเชื่อมโยงตรรกะซับซ้อนได้อย่างดีเยี่ยม และสำหรับการสรุปความจากแหล่งข้อมูลหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารหรือวิดีโอ ผมไว้วางใจให้ NotebookLM ทำหน้าที่ย่อยข้อมูลเหล่านั้นให้เป็นบทสรุปที่กระชับและเข้าใจง่าย
2. “AI เพื่อการสร้างสรรค์เนื้อหา ภาพ และคลิป”
สำหรับงานเขียนเอกสาร ข้อความ ที่ต้องการภาษาที่สละสลวย ความคิดสร้างสรรค์และมุมมองที่แปลกใหม่ ผมเลือกใช้ ChatGPT 5.1 Thinking เนื่องจากโมเดลรุ่นนี้มีกระบวนการ “ไตร่ตรอง” (Reasoning) ก่อนการตอบสนอง ทำให้ได้ผลงานที่มีความลึกซึ้งและมิติทางความคิดที่น่าสนใจ
อย่างไรก็ตาม ในบริบทของการใช้ภาษาไทย ต้องยอมรับถึงศักยภาพของ Gemini 3 และ Claude 4.5 ที่มีความเข้าใจในบริบททางภาษาและวัฒนธรรมไทยได้ดี ผลลัพธ์ที่ได้มีความเป็นธรรมชาติกว่า
สำหรับสื่อมัลติมีเดียซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในปัจจุบัน โดยเฉพาะงานด้านการตลาดและการนำเสนอ ผมเลือกใช้ Sora 2 ในการผลิตวิดีโอสำหรับการนำเสนอ และใช้ nano Banana Pro สำหรับการสร้างรูปภาพหรืออินโฟกราฟฟิก ที่ให้คุณภาพความละเอียดสูงและตอบสนองต่อคำสั่ง (Prompt) ได้อย่างแม่นยำ
3. “AI เพื่อการวางแผนธุรกิจและระดมความคิดเห็น”
ในบทบาทที่ปรึกษาและผู้บริหาร เมื่อต้องการระดมสมองเพื่อวางแผนกลยุทธ์ขององค์กร ผมมักจะกลับไปใช้งาน ChatGPT อีกครั้ง จุดเด่นของโมเดลตระกูลนี้คือ “จินตนาการเชิงกลยุทธ์” บ่อยครั้งที่ผมได้รับไอเดียที่แปลกใหม่และมุมมองที่คาดไม่ถึง ซึ่งช่วยเปิดโลกทัศน์ในการวางแผนงานได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งผมก็ใช้เครื่องมือ AI ตัวอื่นๆ เช่น Gemini 3.0 หรือ Claude 4.5 มาร่วมกันระดมความเห็น เพราะอาจได้มุมมองที่หลากหลายมากขึ้น คล้ายกับเราใช้คนหลายคนมาร่วมกันคิด แล้วสุดท้ายเราเองจะเป็นคนที่ตัดสินใจในขั้นสุดท้าย
4. “AI ผู้ช่วยส่วนตัว”
สุดท้ายคือการใช้งานในรูปแบบคู่สนทนาและผู้ช่วยส่วนตัว ChatGPT ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ด้วยความสามารถด้าน Personalization ที่จดจำบริบทและความชอบของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ รองรับการสื่อสารอย่างลื่นไหลทั้งในรูปแบบข้อความและเสียง (Voice Conversation)
นอกจากนี้ อีกหนึ่งเทรนด์ที่น่าจับตามองคือ Web Browser & Agent ที่มีความสามารถในการจัดการธุรกรรมผ่านหน้าเว็บ ผมจะเลือกใช้โปรแกรม Comet แทน Browser แบบเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นการจองตั๋ว การเปรียบเทียบข้อมูลสินค้า หรือการจัดการเอกสารออนไลน์ Comet จึงกลายเป็นผู้ช่วยแบบ Copilot ที่เข้ามาช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานของผมอย่างมาก
เพื่อให้เห็นภาพการนำไปประยุกต์ใช้จริง ผมขอยกตัวอย่างกระบวนการเขียนบทความ ที่ผมไม่ได้เขียนเพียงลำพัง หรือการพึ่งพา AI เพียงตัวเดียว แต่เป็นกระบวนการทำงานที่เป็นระบบ ดังนี้
การสืบค้นข้อมูล: เริ่มต้นด้วยการใช้ Gemini Deep Research เพื่อเจาะลึกข้อมูลเชิงวิชาการ ควบคู่ไปกับ Perplexity และ Grok เพื่อตรวจสอบเทรนด์ปัจจุบันและความถูกต้องของข้อมูล บางครั้งผมไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจากบทวิเคราะห์ใน YouTube และใช้ NotebookLM ในการสรุปประเด็นสำคัญ
การร่างเนื้อหา: เมื่อได้ข้อมูลหลากหลายมา ผมจะวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ จะเริ่มวางโครงเรื่องและเขียนเนื้อหาด้วยตนเอง โดยอาจใช้ ChatGPT หรือ Gemini ช่วยขยายความในจุดที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์เพิ่มเติม และเมื่อต้นฉบับเสร็จสิ้น ผมจะส่งให้ Claude 4.5 ทำหน้าที่บรรณาธิการ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของไวยากรณ์ และเกลาสำนวนภาษาไทยให้ดีขึ้น ก่อนส่งไปให้บรรณาธิการที่เป็นมนุษย์ช่วยตรวจสอบอีกครั้ง
กระบวนการนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิด “Human in the Loop” โดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลางในการควบคุมทิศทาง และใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริมประสิทธิภาพในแต่ละขั้นตอน
สิ่งสำคัญสุดคือทัศนคติ (Mindset) ในการทำงานร่วมกับ AI แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปมาก แต่เราควรตระหนักเสมอว่า AI คือ “ผู้ช่วย” (Co-pilot) ไม่ใช่ผู้ที่มาทำงานแทนเราทั้งหมด มนุษย์ยังคงต้องเป็นผู้สั่งงาน ตรวจสอบความถูกต้อง และใส่จิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ลงไปในผลงาน
และที่สำคัญอย่าเข้าใจผิดว่าการใช้ AI จะทำให้เรา “ทำงานน้อยลง” เพื่อที่จะได้มีเวลาว่างสำหรับการพักผ่อนมากขึ้น ในความเป็นจริง AI เข้ามาช่วยลดระยะเวลาในกระบวนการทำงานซ้ำซ้อนหรืองานสืบค้นข้อมูล เพื่อให้เรา “สามารถจัดสรรเวลาไปมุ่งเน้นงานที่มีคุณค่าสูงกว่า” เราอาจยังคงใช้เวลาในการทำงานเท่าเดิม แต่เราจะได้งานมากขึ้นและมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
จากนี้ไป โจทย์สำคัญจึงไม่ใช่การค้นหาว่า AI ตัวไหนดีที่สุด แต่คือการตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เราได้เลือกใช้และผสมผสานเครื่องมือ AI อย่างชาญฉลาดและเหมาะสมกับเนื้องานแล้วหรือยัง?” ขอให้เรามองว่า AI เป็นพันธมิตรที่ทรงพลัง และใช้ทักษะความเป็นมนุษย์ในการสั่งการให้เกิดประโยชน์สูงสุด