บทความโดย รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอุบัติใหม่ (Thought Leader in Emerging Technologies)
มิติใหม่แห่งการลงทุนภาครัฐ กับ G-Token พลิกโฉมการระดมทุนด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน คล้ายพันธบัตร ซึ่งผู้ลงทุนควรศึกษาความเสี่ยง ทั้งด้านเทคโนโลยี กฎระเบียบ และความผันผวนก่อนตัดสินใจ
เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการออกโทเคนดิจิทัล นับเป็นการเปิดทางให้กระทรวงการคลังสามารถออกและเสนอขาย ‘โทเคนดิจิทัลของรัฐบาล’ (Government Token: G-Token) และระบุว่าเป็นประเทศแรกของโลก
ทั้งนี้ G-Token รอบแรก คาดว่าจะออกในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการระดมเงินภายใต้กรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2568 ตามกรอบปกติ
โทเคนดิจิทัลคืออะไร?
หลายคนอาจสงสัยว่า โทเคนดิจิทัลคืออะไร และแตกต่างจากคริปโทเคอร์เรนซีอย่างไร ซึ่งถ้าเราดูในพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 จะเห็นได้ว่ามีการจำแนกสินทรัพย์ดิจิทัลออกเป็นสองประเภทคือ คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัล
คริปโทเคอร์เรนซีมีลักษณะเป็น “สกุลเงินดิจิทัล” ที่ใช้ในการชำระค่าสินค้าและบริการหรือเพื่อการเก็งกำไร ในขณะที่ โทเคนดิจิทัลคือ “หน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์” ที่เปรียบเสมือน “ตราสารแสดงสิทธิ” ซึ่งให้สิทธิบางประการแก่ผู้ถือ
โทเคนดิจิทัลยังสามารถแบ่งออกได้ตามวัตถุประสงค์การใช้งาน เช่น โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) ที่ใช้กำหนดสิทธิของผู้ถือในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือกิจการใดๆ และโทเคนดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ (Utility Token) ที่ใช้กำหนดสิทธิของผู้ถือในการได้มาซึ่งสินค้า บริการ หรือสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจงตามข้อตกลงระหว่างผู้ออกและผู้ถือ ซึ่งแต่ละประเภทมีคุณลักษณะและข้อกำหนดทางกฎหมายที่แตกต่างกัน
สำหรับ G-Token จะถูกจัดให้อยู่ในประเภทโทเคนเพื่อการลงทุน เนื่องจากเป็นการให้สิทธิแก่ผู้ถือในการได้รับคืนเงินต้นพร้อมด้วยดอกเบี้ย อันมีลักษณะคล้ายคลึงกับการถือครองพันธบัตรรัฐบาล ด้วยเหตุผลดังกล่าว G-Token จึงไม่ได้มีสถานะเป็นเงินตราและไม่ได้เป็นคริปโทเคอร์เรนซี ทำให้ไม่สามารถนำไปใช้ในการชำระค่าสินค้าและบริการได้โดยตรง เช่นเดียวกับพันธบัตรรัฐบาลที่ไม่สามารถนำไปใช้ชำระค่าสินค้าในระบบเศรษฐกิจทั่วไปได้
G-Token คือ โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนที่ออกโดยรัฐบาลไทย เป็นนวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล 100% คล้ายพันธบัตรรัฐบาล แต่ไม่มีเอกสารกระดาษ เพิ่มทางเลือกในการลงทุน และสนับสนุนการพัฒนาตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศ
G-Token อยู่ในรูปของ “สินทรัพย์ดิจิทัล” 100% โดยจะออกและจัดเก็บบนระบบบล็อกเชน ทำให้ไม่มีใบหลักทรัพย์ในรูปแบบกระดาษ ผู้ซื้อจะได้รับโทเคนเข้าบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลของตนโดยตรง ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลแบบเดิมอาจออกเป็นเอกสาร โดยบริหารจัดการผ่านระบบไร้ใบ (Scripless) มีสถาบันตัวกลาง เช่น ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์เป็นผู้ดูแล
G-Token จะเปิดขายผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลหรือผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal) ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ผู้ลงทุนต้องเปิดบัญชีกับแพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อจองซื้อโทเคน และเมื่อออกแล้วสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือบนตลาดรองผ่าน “ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล” (Digital Asset Exchange) ที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ของประเทศไทย
G-Token มีประโยชน์อย่างไร?
จากการแถลงข่าวของภาครัฐระบุว่า G-Token มีเป้าหมายเพื่อปฏิวัติการลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์โดยการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดรองให้สามารถซื้อขายได้เกือบจะทันที (near real-time) หรือภายใน T+1 ซึ่งรวดเร็วกว่าระบบเดิมที่ใช้เวลากว่า 7 วัน
นอกจากนี้ G-Token ยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินการของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) จากเดิมที่ประมาณ 0.03% ของวงเงินจำหน่าย พร้อมทั้งส่งเสริมการออมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ผ่านการเข้าถึงโอกาสทางการเงินที่ทั่วถึงและเท่าเทียม และเพิ่มทางเลือกในการกระจายการลงทุน
ที่สำคัญ G-Token ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความโปร่งใสในการทำธุรกรรมภายใต้ พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ ทำให้ผู้กำกับดูแลสามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น ทั้งหมดนี้ยังเป็นการสนับสนุนการพัฒนาตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศเพื่อเป็นแหล่งระดมทุนที่ยั่งยืนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงินในระดับภูมิภาค
G-Token มีข้อเสียและความเสี่ยงอย่างไร?
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาให้ละเอียดยิ่งขึ้น จะพบว่า G-Token มีข้อเสียและความเสี่ยงที่สำคัญหลายประการ เริ่มจากความเสี่ยงทางเทคโนโลยีและความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับการพึ่งพาระบบบล็อกเชน ซึ่งอาจเกิดปัญหาทางเทคนิคหรือการถูกโจมตีได้ โดยเฉพาะความปลอดภัยของกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) ที่ผู้ถือโทเคนใช้งาน
นอกจากนี้ ยังมีความไม่แน่นอนและความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ กฎหมายหรือนโยบายที่เกี่ยวข้องอาจมีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลกระทบต่อมูลค่า สถานะ และการใช้งานของโทเคนในด้านตลาด
ราคาของ G-Token อาจมีความผันผวนเมื่อมีการซื้อขายในตลาดรอง และหากตลาดรองขาดสภาพคล่อง ผู้ลงทุนอาจประสบปัญหาในการขายโทเคนได้ อีกทั้งผู้ลงทุนบางรายอาจยังขาดความเข้าใจในลักษณะของโทเคนดิจิทัล ทำให้ตัดสินใจลงทุนผิดพลาดได้
แม้จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงด้านเครดิตหากสถานะทางการเงินของรัฐบาลเปลี่ยนแปลง และความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยที่อาจส่งผลต่อมูลค่าสินทรัพย์อ้างอิง รวมถึงความเสี่ยงด้านการดำเนินงานที่อาจเกิดจากปัญหาของแพลตฟอร์มหรือกระบวนการออกโทเคน
โทเคนดิจิทัล เพื่อการลงทุนไม่ใช่เรื่องใหม่
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทเอกชนในประเทศได้ดำเนินการออกโทเคนดิจิทัลเพื่อวัตถุประสงค์ในการระดมทุนในหลายโครงการ ตัวอย่างเช่น โครงการ “SiriHub Token” ซึ่งเป็นโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือโครงการ “Destiny Token” ซึ่งเป็นการระดมทุนเพื่อใช้ในการสร้างสรรค์ภาพยนตร์เรื่องบุพเพสันนิวาส ภาคสอง โครงการทั้งสองนี้ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนในระดับที่น่าพอใจ และผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้
อย่างไรก็ตาม ยังปรากฏกรณีของ “JFin Coin” ซึ่งจัดเป็นคริปโทเคอร์เรนซีที่มีระดับความผันผวนของราคาสูง อันเป็นไปตามสภาวการณ์ของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในขณะนั้น กรณีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโทเคนดิจิทัลแต่ละประเภทนั้นมีระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลและรายละเอียดของโทเคนแต่ละประเภทอย่างถี่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวกับสินทรัพย์หรือโครงการที่ใช้เป็นหลักประกันหรืออ้างอิงมูลค่าของโทเคนนั้นๆ
ประเทศไหนมีโทเคนดิจิทัล
นอกจากนี้ยังมีประเทศอื่นๆ ที่ริเริ่มโครงการที่คล้ายกัน เช่น
ฮ่องกง ออกพันธบัตรสีเขียว (Green Bond) ในรูปแบบโทเคนสำหรับนักลงทุนสถาบันเป็นจำนวนถึงสองครั้ง และปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาแนวทางการขยายการประยุกต์ใช้สำหรับพันธบัตรรัฐบาลแบบโทเคนไปยังกลุ่มนักลงทุนรายย่อย แต่ยังไม่สามารถเปิดตัวได้ เนื่องจากมีการระบุว่าการดำเนินการดังกล่าวยังมีความซับซ้อนอย่างมากทั้งในด้านกฎหมายและเทคโนโลยี
ขณะเดียวกัน สหราชอาณาจักร ได้ดำเนินโครงการ “DIGIT” ซึ่งเป็นการทดลองออกพันธบัตรรัฐบาลในรูปแบบดิจิทัลภายใต้ Regulatory Sandbox เพื่อวัตถุประสงค์ในการศึกษาและพัฒนาระบบ
ส่วน สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ มีโครงการ “GBonds” ซึ่งมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงการลงทุนได้อย่างสะดวกสบายผ่านแอปพลิเคชันกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เช่น GCash ด้วยจำนวนเงินลงทุนเริ่มต้นในระดับต่ำมาก ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับแนวทางการดำเนินงานของ G-Token ในประเทศไทย
บล็อกเชน กับ G-Token
จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนที่แสดงความคิดเห็นผ่านโซเชียลมีเดียระบุว่า การนำ G-Token มาใช้บนระบบบล็อกเชนถือเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่น่าสนับสนุนอย่างยิ่ง โดยมีประเด็นทางเทคนิคที่น่าสนใจ เช่น การเลือกใช้บล็อกเชนที่ทุกศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถเชื่อมต่อได้ ซึ่งอาจเป็นบล็อกเชนใหม่ของรัฐที่เป็น Public chain ก็ได้ โดยลักษณะของ G-Token จะต้องเป็น Fungible Token เพื่อให้สามารถแบ่งซื้อขายหน่วยย่อยได้
อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลสำคัญเกี่ยวกับการจ่ายผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยเป็นเงินบาท ซึ่งอาจสร้างข้อจำกัดในการออกแบบระบบ ทำให้ไม่สามารถโอนโทเคนระหว่างกระเป๋าเงินดิจิทัลได้อย่างอิสระ แต่ต้องผูกกับบัญชีธนาคารหรือผ่านบัญชีของศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่รองรับการจ่ายผลตอบแทน
เพื่อแก้ไขปัญหาการจ่ายผลตอบแทนดังกล่าว ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีได้เสนอให้ออก ‘โทเคนบาท’ บนบล็อกเชนในวงจำกัด เพื่อใช้สำหรับจ่ายผลตอบแทนให้ผู้ถือ G-Token โดยเฉพาะ ซึ่งแนวทางนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจไม่พิจารณาว่าเป็นการใช้งานเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการในวงกว้าง และการแลกโทเคนบาทกลับเป็นเงินบาทจริงสามารถดำเนินการผ่านดิจิทัลวอลเล็ตของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (สพร.) หรือ DGA ได้
โดยสรุปแล้ว การที่รัฐบาลไทยเตรียมดำเนินการออก G-Token ถือเป็นพัฒนาการที่พึงให้ความสนใจและควรค่าแก่การติดตามอย่างใกล้ชิดยิ่ง เนื่องจากเป็นการบูรณาการเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ากับกระบวนการระดมทุนภาครัฐ
อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงนี้อาจไม่แตกต่างจากการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลแบบเดิมมากนักในทางปฏิบัติ เนื่องจากปัจจุบันการซื้อขายพันธบัตรของนักลงทุนรายย่อยในตลาดรองมีปริมาณไม่สูง และการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของรายย่อยส่วนใหญ่มักเป็นการลงทุนระยะยาว คล้ายกับการฝากเงินในบัญชีเงินฝากประจำซึ่งไม่มีการเคลื่อนไหวของบัญชีบ่อยครั้งนัก ท้ายที่สุดแล้ว G-Token อาจเป็นรูปแบบการระดมทุนที่ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้งาน