ตลอดเดือนที่ผ่านมา OpenAI ได้เปิดตัวโครงการและความร่วมมือชุดใหญ่แบบไม่หยุดยั้ง ทั้งการจับมือกับบริษัทชิปอย่าง AMD และ Nvidia การเปิดตัวโมเดลวิดีโอ Sora เวอร์ชันใหม่ รวมถึงแผนสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ — ทั้งหมดคลี่คลายออกมาให้เห็นทิศทางที่ชัดเจนว่า OpenAI กำลังพยายามเป็น “Windows ของโลก AI”
จาก DOS สู่ ChatGPT: เปรียบเทียบประวัติศาสตร์ของแพลตฟอร์ม
เพื่อเข้าใจวิสัยทัศน์ของ OpenAI เราต้องย้อนกลับไปยุคของพีซีในช่วงต้นทศวรรษ 1980 เมื่อ Microsoft ได้เป็นผู้จัดหา OS (DOS) ให้ IBM และทำให้ Windows กลายเป็นศูนย์กลางของซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร
หลายฝ่ายมองว่า ChatGPT กำลังเดินรอยเดียวกันผ่านโมเดลการรวมผู้ใช้งาน (user aggregation) นำไปสู่การดึงดูดนักพัฒนาและพันธมิตรต่าง ๆ เข้าหา
ขณะที่สมาร์ทโฟนและ iOS ถือเป็นแพลตฟอร์มหลักในยุคหลังๆ แต่วิธีการแบบ Apple ที่ควบคุมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์นั้นจำกัดความสามารถในการขยายฐานผู้ใช้ ต่างจากวิสัยทัศน์ของ OpenAI ที่เน้น “ความเป็นกลางเชิงระบบ” มากกว่า
จากแชทบอทสู่ระบบปฏิบัติการ AI: DevDay เปิดตัวแอปในตัว ChatGPT
ในการจัดงาน DevDay ล่าสุด OpenAI ได้เปิดตัวความสามารถใหม่ ให้ผู้ใช้งาน ChatGPT สามารถเรียกใช้งานแอปยอดนิยมต่างๆ เช่น
- Canva
- Zillow
- Booking.com
- Figma
- Spotify
ภายในการสนทนาเดียวกัน โดย ChatGPT ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยและตัวกลาง
นี่ไม่ใช่เพียงการ “เชื่อมโยงกับเว็บ” แต่คือการ “ชุบชีวิตใหม่ให้กับแอป” บนแพลตฟอร์มของตนเอง กล่าวคือ ถ้าแอปไม่ถูกสร้างให้ทำงานภายใน ChatGPT เท่ากับว่าแอปนั้นไม่มีตัวตนสำหรับผู้ใช้ที่อยู่ใน Ecosystem นี้
กลยุทธ์สองซัพพลายเออร์: OpenAI และ AMD
หนึ่งในข้อตกลงสำคัญคือการจับมือกับ AMD เพื่อซื้อชิป MI450 คิดเป็นความสามารถการประมวลผล 6 กิกะวัตต์ ร่วมกับพันธมิตรคลาวด์ ซึ่งสะท้อนยุทธศาสตร์สมัย IBM ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการพึ่งพา Intel เพียงรายเดียว
ดีลดังกล่าวจะให้ OpenAI มีชิปที่ไม่ได้พึ่งพา Nvidia อย่างเดียว และยังเป็นการลดอำนาจผูกขาดในตลาดฮาร์ดแวร์ AI ที่ Nvidia ครองอยู่
อีกทั้ง OpenAI ยังได้รับสิทธิ์ซื้อหุ้น AMD ราคา 1 เซ็นต์ต่อหุ้น จำนวนสูงถึง 10% หากบรรลุเป้าหมายบางประการในอนาคต
ผู้ใช้มาก่อน นักพัฒนาตามมา
แนวคิด “ก่อนจะเป็นแพลตฟอร์ม คุณต้องเป็นผลิตภัณฑ์ยอดนิยม” ถูกพิสูจน์โดย ChatGPT อย่างชัดเจน ด้วยฐานผู้ใช้มหาศาล ทำให้ OpenAI สามารถดึงนักพัฒนา พันธมิตร และบริษัทซอฟต์แวร์เข้าร่วม Ecosystem ของตนผ่าน SDK และ API ต่าง ๆ
สิ่งนี้คล้ายยุค Windows ที่โปรแกรมต้องรองรับ OS ของ Microsoft มิฉะนั้นก็จะถึงขั้น “ไม่มีอยู่จริง” สำหรับผู้ใช้
การเติบโตแบบไม่จำกัดกรอบ
แม้ในช่วงแรกของการเติบโต หลายสำนักวิเคราะห์แนะนำให้ OpenAI โฟกัสเฉพาะด้านคอนซูเมอร์ และปล่อยตลาดองค์กรให้ Microsoft ดูแล แต่ตอนนี้ Ben Thompson มองว่า OpenAI กำลังเดินเกมให้โอบคลุมทุกมิติ ทั้ง:
- ผู้ใช้ทั่วไป
- องค์กร
- ซอฟต์แวร์
- ฮาร์ดแวร์
- โครงสร้างพื้นฐาน
ในยุคที่ฟองสบู่ AI เริ่มพองตัว คำถามไม่ใช่ว่าจะเกิดหรือไม่ แต่อยู่ที่ “โครงสร้างพื้นฐานถาวรแบบใด” ที่จะเกิดขึ้นตามมา เช่น:
- การสร้างพลังงานเพิ่มในศูนย์ข้อมูล
- การฟื้นฟูผู้เล่นเก่าอย่าง Intel ที่อาจกลับมาได้หากได้รับแรงผลักจาก OpenAI
Google: Apple ของยุค AI?
ในขณะที่ OpenAI พยายามรวม Ecosystem แบบแนวนอนเหมือน Windows, Google เลือกแนวทางของ Apple คือควบคุมตั้งแต่:
- ฮาร์ดแวร์
- โมเดล
- ช่องทางการจัดจำหน่าย
เหมือนที่ Apple ทำผ่าน iOS
การแข่งขันนี้สะท้อนสงครามแพลตฟอร์มอีกครั้งในรอบหลายสิบปี แต่คราวนี้ในรูปของ AI ซึ่งเดิมพันไม่ใช่แค่ตลาดผู้บริโภค แต่รวมถึง โครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานข้อมูลแห่งอนาคต
สรุป
OpenAI ไม่ได้ “แค่” สร้างแชทบอท แต่สร้างระบบนิเวศทั้งหมดที่มีศักยภาพจะกลายเป็น Windows เวอร์ชันใหม่ในโลก AI โดยมี ChatGPT เป็น User Interface หลัก และค่อย ๆ พลิกบทบาทของตัวเองจากผู้สร้าง AI มาเป็นผู้ควบคุมแพลตฟอร์มที่คนทั่วโลกใช้งาน — และอาจเป็นศูนย์กลางของฟองสบู่ AI ครั้งประวัติศาสตร์นี้เอง