Home » Pricing Strategies: วิธีการตั้งราคาสินค้า ตอนที่ 3

Pricing Strategies: วิธีการตั้งราคาสินค้า ตอนที่ 3

475 views

บทความโดย ม.ล.ชัยวัฒน์ ชยางกูร

ว่ากันถึงกลยุทธ์ Value-Based Pricing Strategy การตั้งราคาตามมูลค่า และ Psychological pricing การตั้งราคาตามหลักจิตวิทยา

บทความนี้เป็นตอนที่ 3 ของเรื่อง “การตลาดในการตั้งราคาสินค้าที่เป็นกลยุทธ์” “Pricing Strategies” ซึ่งจะเขียนต่อเนื่องกันหลายสัปดาห์ ครั้งนี้กล่าวถึง กลยุทธ์ที่ 6-7 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งใน 10 กลยุทธ์

กลยุทธ์ที่ 6. Value-Based Pricing Strategy การตั้งราคาตามมูลค่า (Value-based Pricing)

คือ การกำหนดราคาผลิตภัณฑ์หรือบริการโดยอิงจากมูลค่าที่ลูกค้ารับรู้ หรือความเต็มใจที่จะจ่ายสำหรับสินค้าหรือบริการนั้นๆ แทนที่จะพิจารณาจากต้นทุนการผลิตหรือราคาของคู่แข่ง ธุรกิจจะพยายามทำความเข้าใจว่าลูกค้าให้คุณค่ากับผลิตภัณฑ์หรือบริการอย่างไร และตั้งราคาให้สอดคล้องกับมูลค่าที่ลูกค้ารับรู้

หลักการสำคัญการตั้งราคาตามมูลค่า

• เข้าใจความต้องการของลูกค้า: ธุรกิจต้องวิเคราะห์ความต้องการและสิ่งที่ลูกค้าต้องการจากผลิตภัณฑ์หรือบริการอย่างละเอียด

• ประเมินมูลค่าที่รับรู้: พิจารณาว่าลูกค้าเห็นคุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือบริการอย่างไร และยินดีจ่ายเท่าไหร่เพื่อแลกกับคุณค่าที่ได้รับ

• กำหนดราคาที่สอดคล้องกัน: ตั้งราคาให้สอดคล้องกับมูลค่าที่ลูกค้ามองเห็น โดยอาจสูงกว่าต้นทุนการผลิตหรือราคาคู่แข่ง หากลูกค้าเห็นว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นมีคุณค่าสูง

• สื่อสารคุณค่า: สื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจถึงคุณค่าที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์หรือบริการ เพื่อให้พวกเขายอมรับราคาที่สูงขึ้นได้

ข้อดีของการตั้งราคาตามมูลค่า

• เพิ่มผลกำไร: สามารถตั้งราคาที่สูงขึ้นได้ หากลูกค้าเห็นว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นมีคุณค่าสูง

• สร้างความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า: เมื่อลูกค้าเห็นว่าได้รับคุณค่าที่คุ้มค่า พวกเขามักจะพอใจและกลับมาซื้อซ้ำ

• สร้างความแตกต่าง: ช่วยให้ธุรกิจสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้

• ปรับตัวตามตลาด: สามารถปรับราคาได้ตามสภาวะตลาดและความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป

ข้อเสียของการตั้งราคาตามมูลค่า

• ต้องมีความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง: การกำหนดราคาตามมูลค่าต้องอาศัยการวิจัยตลาดและข้อมูลลูกค้าอย่างละเอียด

• อาจสูญเสียลูกค้าที่ไม่เข้าใจคุณค่า: ธุรกิจอาจสูญเสียลูกค้าที่ไม่เห็นคุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือบริการ และมองว่าราคาแพงเกินไป

• อาจต้องใช้เวลานาน: การวิจัยตลาดและประเมินมูลค่าของลูกค้าอาจต้องใช้เวลาและทรัพยากร

ธุรกิจที่เหมาะกับการตั้งราคาตามมูลค่า

1. ธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีเอกลักษณ์ หรือมีความแตกต่างจากคู่แข่ง

2. ธุรกิจที่อยู่ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง หรือมีความอ่อนไหวต่อราคา

3. ธุรกิจที่ขายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีมูลค่าสูง

ตัวอย่าง

• ธุรกิจ SaaS (Software as a Service) ที่ให้บริการที่มีฟีเจอร์เฉพาะและมีคุณค่าสูงต่อลูกค้า

• ธุรกิจที่ให้บริการที่มีคุณภาพสูง และลูกค้าเต็มใจจ่ายเพิ่มเพื่อแลกกับประสบการณ์ที่ดีกว่า

• ธุรกิจที่ขายสินค้าพรีเมียม ที่ลูกค้ามองว่ามีคุณภาพและคุณค่าที่สูงกว่าสินค้าทั่วไป

โดยสรุป การตั้งราคาตามมูลค่าเป็นกลยุทธ์ที่เน้นการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า และตั้งราคาตามมูลค่าที่ลูกค้ารับรู้ เพื่อเพิ่มผลกำไร สร้างความพึงพอใจ และสร้างความภักดีของลูกค้า

กลยุทธ์ที่ 7 Psychological pricing การตั้งราคาตามหลักจิตวิทยา

คือการตั้งราคาที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค โดยอาศัยความรู้สึกและอารมณ์ของผู้ซื้อ วิธีการตั้งราคาตามหลักจิตวิทยาที่นิยมใช้มีหลายวิธี เช่น

การตั้งราคาแบบจิตวิทยามีหลายแบบ ดังนี้

แบบที่ 1. Round Price: เลขกลมๆ คือ การตั้งราคาที่ลงท้ายด้วยเลขคู่หรือเลขเต็ม (เช่น 100 บาท, 2,000 บาท) มักใช้กับสินค้าที่ต้องการสร้างความรู้สึกถึงคุณภาพและความน่าเชื่อถือ

แบบที่ 2. Phycology Typical Price หรือ การตั้งราคาเชิงจิตวิทยา (Psychological Pricing) คือ กลยุทธ์การกำหนดราคาที่ใช้ประโยชน์จากความรู้สึกและอารมณ์ของผู้บริโภค โดยมักจะตั้งราคาให้ต่ำกว่าราคาปัดเศษเล็กน้อย (เช่น 99 บาท แทนที่จะเป็น 100 บาท) เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ

แบบที่ 3. Charm Pricing หรือ Odd Pricing การตั้งราคาแบบเลข 9 คือ การตั้งราคาที่ลงท้ายด้วยเลข 9 (เช่น 199 บาท, 999 บาท) ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าราคาสินค้าถูกกว่าความเป็นจริงเล็กน้อย เพราะสมองจะให้ความสำคัญกับตัวเลขด้านหน้ามากกว่า โดยส่วนใหญ่มักนิยมลงท้ายด้วยเลข 9. เช่น 99 บาท 199 บาท หรือ 999 บาท

โดยนักจิตวิทยาพบว่าการกำหนดราคาแบบนี้จะทำให้ ผู้บริโภครู้สึกว่าผลิตภัณฑ์มีราคาถูกกว่า เช่น ระหว่างราคา 98 99 และ 100 บาท แม้ว่าจะมีช่วงราคาต่างกัน 1 บาท

แบบที่ 4. Relative Pricing ราคาสัมพัทธ์ (Relative Price) คือ ราคาของสินค้าหรือบริการหนึ่งเมื่อเทียบกับราคาของสินค้าหรือบริการอื่นๆ หรืออีกนัยหนึ่งคือ อัตราส่วนของราคาสินค้าสองรายการ หรือราคาสินค้าหนึ่งรายการเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของสินค้าอื่นๆ ในตลาด

การเปรียบเทียบ: ราคาสัมพัทธ์ไม่ได้บอกถึงราคาที่แท้จริงของสินค้า แต่เป็นการเปรียบเทียบว่าสินค้าหนึ่งมีราคาแพงหรือถูกกว่าสินค้าอื่นๆ อย่างไร ตัวอย่าง: หากราคากาแฟสูงขึ้นเมื่อเทียบกับชา ราคาสัมพัทธ์ของกาแฟก็จะสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคบางส่วนหันไปดื่มชามากขึ้น

แบบที่ 5. Prestige Pricing หรือการตั้งราคาแบบดึงดูด คือ การตั้งราคาสูงและลงท้ายด้วยเลขคู่ (เช่น 1,000 บาท, 5,000 บาท) มักใช้กับสินค้าแบรนด์เนม หรือสินค้าที่มีภาพลักษณ์หรูหรา เพื่อสร้างความรู้สึกถึงคุณภาพและความพิเศษ หรือคุณภาพที่เหนือกว่า กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์หรือบริการให้มีความพรีเมียมและเป็นที่ต้องการ ดึงดูดลูกค้าที่เชื่อมโยงราคาที่สูงขึ้นกับคุณค่าหรือสถานะที่สูงกว่า

นอกจากนั้นยังมีกลยุทธ์ หลายแบบให้ติดตามกันสัปดาห์หน้านะครับ ตอนที่ 4 นะครับ มีอีก 3 กลยุทธ์ ที่ต้องติดตาม

You may also like

The-Perspective แหล่งรวมองค์ความรู้ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ เกาะติดข่าวสารคาดการณ์อนาคต

Tel:  081-619-9494
Email:
editor@the-perspective.co
naiyanaone@gmail.com

Total Visit:

298,668

298,668

Editors' Picks

Latest Posts

The-Perspective © All Right Reserved.

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการใช้งานของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อเก็บข้อมูลและรวบรวมสถิติวิจัยทางด้านการตลาด การวิเคราะห์แนวโน้ม ตลอดจนนำมาปรับปรุง และควบคุมการทำงานของเว็บไซต์ ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอม ท่านยังสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้ปกติ ยอมรับทั้งหมด