Home » เอสซีจี โชว์ผลประกอบการครึ่งปีแรก 68 โตต่อเนื่อง กระแสเงินสดแกร่ง หนี้ลด เคาะปันผลระหว่างกาล 2.50 บาท/หุ้น

เอสซีจี โชว์ผลประกอบการครึ่งปีแรก 68 โตต่อเนื่อง กระแสเงินสดแกร่ง หนี้ลด เคาะปันผลระหว่างกาล 2.50 บาท/หุ้น

โดย Reporter 1
371 views

เอสซีจี เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก 2568 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยมีกระแสเงินสด (EBITDA) แกร่งขึ้นอยู่ที่ 30,320 ล้านบาท ขณะที่หนี้สินสุทธิลดลงเกือบ 10,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นไตรมาส 1/2568 สะท้อนจากการปรับตัวของทุกธุรกิจ รวมถึงการปรับพอร์ตลงทุนโดยเน้นหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในภาพรวม นอกจากนี้ เอสซีจียังประเมินเศรษฐกิจไทย อาเซียน และโลกในครึ่งปีหลัง 2568 ว่ายังเผชิญความท้าทายจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนของราคาพลังงาน

เพื่อตอบรับสถานการณ์ดังกล่าว เอสซีจีจึงเร่งเครื่องธุรกิจด้วยการชูฐานการผลิตที่หลากหลายในภูมิภาคอาเซียน พร้อมเดินหน้า “ลดต้นทุน” เพื่อแข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลกอย่างมีประสิทธิภาพ และการส่งเสริมสินค้าในกลุ่ม Smart Value, HVA (High Value Added) และ Green Products เพื่อรุกตลาดที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทยังประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 2.50 บาทต่อหุ้น เพื่อดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่องและมั่นคงในระยะยาว

เอสซีจีเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยคุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า บริษัทได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกมาตั้งแต่กลางปี 2567 ส่งผลให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA) ครึ่งปีแรกของปี 2568 แข็งแกร่งขึ้นแตะระดับ 30,320 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีหลังของปี 2567 ถึง 21% โดยเป็นผลมาจากการปรับพอร์ตลงทุน หยุดธุรกิจที่ไม่สร้างผลกำไร และยกระดับประสิทธิภาพในทุกกลุ่มธุรกิจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวินัยทางการเงินและความสามารถในการปรับตัวขององค์กรในช่วงเศรษฐกิจผันผวน

กลุ่มธุรกิจหลักของเอสซีจีต่างมีพัฒนาการที่ดี โดยธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ธุรกิจแพคเกจจิ้ง (SCGP) ปรับแผนการผลิต บริหารต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล และนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ ด้านธุรกิจเคมิคอลส์ (SCGC) มีสัญญาณฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ (Gap) เริ่มดีขึ้นตามต้นทุนราคาน้ำมันดิบที่ลดลง พร้อมกันนี้ เอสซีจียังมีรายได้เงินปันผลจากบริษัทร่วมอย่างสม่ำเสมอ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยเสริมฐานะทางการเงินให้แข็งแรงยิ่งขึ้น

SCG ยังคงยึดมั่นในหลักการบริหารการเงินอย่างมั่นคงและมีวินัย โดยคุณจันทนิดา สาริกะภูติ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน เผยว่าบริษัทให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางการเงินและการบริหารเงินทุนหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในไตรมาส 2/2568 SCG สามารถลดเงินทุนหมุนเวียนได้ถึง 7,164 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดเงินทุนหมุนเวียนรวมตั้งแต่ไตรมาส 3/2567 ลดลงมากกว่า 25,000 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 80,000 ล้านบาท สะท้อนถึงการบริหารจัดการที่เข้มข้นและมุ่งมั่นในการลดต้นทุนทางการเงินอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ SCG ยังลดภาระหนี้สินสุทธิได้ถึง 8,365 ล้านบาทในช่วงไตรมาสเดียวกัน ขณะที่เงินลงทุนในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่กว่า 6,000 ล้านบาท และในไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ประมาณ 9,000 กว่าล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากการที่ SCG Packaging เข้าซื้อหุ้นเพิ่มจากบริษัทที่ลงทุนอยู่แล้วในประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นกิจการที่มีผลประกอบการดี และสร้างรายได้อย่างมั่นคง ทำให้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 SCG ยังคงมีเงินสดสำรองอยู่ในระดับสูงที่ 45,542 ล้านบาท

สำหรับภาพรวมผลประกอบการในครึ่งปีแรกของปี 2568 SCG มีรายได้รวม 249,077 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 18,436 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ กำไรสุทธิจากธุรกิจหลักจะอยู่ที่ 3,266 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นผลงานที่น่าพอใจท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงเผชิญแรงกดดันจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพและความแข็งแกร่งของกลยุทธ์ธุรกิจที่เน้นความยืดหยุ่น และปรับตัวได้อย่างรวดเร็วในทุกสถานการณ์

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกในอัตรา 2.50 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและดูแลผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดวันจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 สิงหาคม 2568 วันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล (XD) คือ 13 สิงหาคม 2568 และวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) คือ 14 สิงหาคม 2568 ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ถึงการบริหารจัดการที่แข็งแกร่งและสร้างคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างแท้จริง

กลยุทธ์การดำเนินงานที่สำคัญในครึ่งปีแรกของปี 2568

กลยุทธ์ “ลดต้นทุน” เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลกอย่างจริงจัง โดยในครึ่งปีแรกของปี 2568 กลุ่มธุรกิจเคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) ดำเนินมาตรการบริหารต้นทุนวัตถุดิบ และเพิ่มมูลค่าจากผลิตภัณฑ์พลอยได้จากสายการผลิต ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าได้รวม 912 ล้านบาท พร้อมทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพการเดินเครื่องจักรเต็มกำลังการผลิต ลดต้นทุนได้อีก 616 ล้านบาท และลดเงินทุนหมุนเวียนลงได้ถึง 6,989 ล้านบาท นับเป็นการจัดการทรัพยากรที่ส่งผลในเชิงบวกต่อทั้งประสิทธิภาพและความสามารถในการทำกำไรขององค์กร

ในส่วนของเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ได้เพิ่มการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือกในกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง ช่วยลดต้นทุนได้ถึง 1,100 ล้านบาท ขณะที่เอสซีจี เดคคอร์ ใช้กลยุทธ์บริหารจัดการต้นทุนอย่างรอบด้าน ทั้งการเจรจาซื้อวัตถุดิบ บริหารสินค้าคงคลัง และใช้พลังงานสะอาด ส่งผลให้สามารถลดต้นทุนได้ 146 ล้านบาทต่อปี และในฝั่งของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง มีการนำหุ่นยนต์และพลังงานสะอาดมาใช้ในสายการผลิต ซึ่งช่วยลดต้นทุนลงได้อีก 105 ล้านบาท ตอกย้ำภาพรวมของเอสซีจีที่มุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้โครงสร้างต้นทุนที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ

กลยุทธ์ “ปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจอย่างต่อเนื่อง” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในระยะยาว โดยมีการปรับโครงสร้างในหลากหลายพื้นที่สำคัญ อาทิ PT Chandra Asri Pacific Tbk. (CAP) ในอินโดนีเซีย และบางธุรกิจในทวีปยุโรปของเอสซีจีซี รวมถึงบางธุรกิจในอินโดนีเซียของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้บริษัทสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้รวมประมาณ 1,200 ล้านบาทต่อปี สะท้อนถึงแนวทางการบริหารเชิงรุกเพื่อรองรับความท้าทายทางเศรษฐกิจและเสริมความแข็งแกร่งในระดับสากล

กลยุทธ์ “ขยายพอร์ตสินค้าอย่างต่อเนื่อง” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในทุกระดับ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products – HVA) ซึ่งเอสซีจีซีได้พัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน บรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค ยานยนต์ การแพทย์ สุขภาพ ไปจนถึงโซลูชันด้านพลังงาน โดยเน้นการยกระดับคุณภาพสินค้าและการใช้นวัตกรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและความแตกต่างในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

ขณะเดียวกัน เอสซีจี เดคคอร์ ก็ได้ขยายพอร์ตสินค้าจากธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ไปสู่การนำเข้าสินค้าในกลุ่มที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ปูนกาว ยาแนว ประตู หน้าต่าง และท็อปเคาน์เตอร์ครัว เพื่อตอบโจทย์ความครบวงจรในงานตกแต่งและก่อสร้าง พร้อมรุกตลาดกลุ่มพรีเมียมด้วยสินค้า HVA อาทิ กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน และสุขภัณฑ์สมาร์ท ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่เน้นดีไซน์และเทคโนโลยี ตอบสนองผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการทั้งคุณภาพ ความคุ้มค่า และนวัตกรรมในเวลาเดียวกัน

กลยุทธ์การเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจครึ่งปีหลังของปี 2568

อย่างไรก็ตาม เอสซีจีประเมินว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจไทย อาเซียน และเศรษฐกิจโลก ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงราคาพลังงานที่มีความผันผวนสูง ส่งผลให้ตลาดมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ เอสซีจีจึงมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจอย่างรอบด้าน เพื่อให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในทุกสถานการณ์และรักษาความแข็งแกร่งในการดำเนินงานอย่างยั่งยืน

ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ภายใต้การนำของคุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง คุณศักดิ์ชัย ปฎิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมิคอลส์, คุณสุรชัย นิ่มละออ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ และคุณวิโรจน์ รัตนชัยสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล ได้กำหนดกลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจเพื่อให้ SCG สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและตอบรับความท้าทายในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนี้

1. ชูฐานการผลิตที่หลากหลายในภูมิภาคอาเซียน (Regional Optimization) ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเสริมศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะการผลิตและส่งออกจากเวียดนามซึ่งได้เปรียบด้านอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ต่ำเพียง 20% และมีต้นทุนการผลิตที่แข่งขันได้สูง อีกทั้งเวียดนามยังเป็นตลาดบริโภคที่มีศักยภาพเติบโตสูง ทำให้เอสซีจีซีเตรียมกลับมาดำเนินการเชิงพาณิชย์ที่โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP) ในเวียดนามภายในปลายเดือนสิงหาคม 2568

พร้อมเดินหน้าโครงการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยวัตถุดิบก๊าซอีเทน คาดแล้วเสร็จในปี 2570 ขณะที่เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ได้ขยายฐานผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้ด้วยกำลังการผลิตสูงสุด 8,000 ตันต่อวัน รองรับตลาดภายในประเทศและส่งออกไปยังสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย รวมถึงภูมิภาคโอเชียเนีย

นอกจากนี้ เอสซีจี เดคคอร์ได้เพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน ที่เวียดนามซึ่งเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง พร้อมกับบริหารต้นทุนการผลิตให้แข่งขันได้ในระดับโลก ขณะที่เอสซีจีพีเดินหน้าขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในเวียดนาม ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กระดาษ บรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์อาหาร สะท้อนความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความยั่งยืนของธุรกิจในภูมิภาคที่มีศักยภาพสูงแห่งนี้ พร้อมรองรับการเติบโตของตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เอสซีจียังคงมองหาโอกาสในการขยายตลาดไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ที่มีศักยภาพเติบโตสูง โดยในทวีปแอฟริกา บริษัทได้ขยายตลาด “ปูนเม็ด” (Cement Clinker) ผ่านทางเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล เพื่อรองรับความต้องการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ในทวีปเอเชีย เอสซีจีได้ขยายตลาด “3D Printing Solution” สำหรับงานก่อสร้างที่เน้นความรวดเร็วและลดของเสีย ไปยังประเทศญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย และมาเลเซีย นอกจากนี้ ในทวีปโอเชียเนีย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ได้รุกตลาด “หลังคาและฝาฝ้า” โดยพัฒนาคุณสมบัติให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและความต้องการของลูกค้าในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์อย่างเต็มที่

ส่วนการขยายตลาดปูนคาร์บอนต่ำ “เอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 1 และ Gen 2” ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน มอก.ใหม่ 2594-2567 และ Environmental Product Declaration (EPD) ในภูมิภาคอเมริกาเหนือ ได้ขยายสู่ตลาดออสเตรเลียอย่างต่อเนื่อง และเตรียมเปิดตัว “เอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 3” ซึ่งเป็นรายแรกของไทย โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำ Pilot Project กับกว่า 15 โครงการของเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์

ในขณะที่ทวีปยุโรป เอสซีจี เดคคอร์ได้ขยายตลาด “กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน” ไปยังสาธารณรัฐเช็ก พร้อมกับการปรับปรุงกระบวนการผลิต “บรรจุภัณฑ์อาหาร” ของเอสซีจีพี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเติบโตและการตอบสนองความต้องการของตลาดโลกอย่างครบวงจร

2. “ลดต้นทุน” แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก

การใช้หุ่นยนต์และ AI เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์นำเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาใช้ในกระบวนการผลิตและโลจิสติกส์อย่างเต็มรูปแบบ โดยใช้หุ่นยนต์ในการบรรจุปูนซีเมนต์และลำเลียงไปยังคลังสินค้า รวมถึงใช้ระบบจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (AS/RS Warehouse System) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งสินค้าไปยังรถขนส่ง นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับพาร์ทเนอร์พัฒนารถบรรทุกไฟฟ้าไร้คนขับสำหรับการขนส่งในเหมือง (EV Mining Truck) ซึ่งถือเป็นรายแรกในประเทศไทย ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์อย่างยั่งยืน

ขณะที่เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ใช้ระบบอัตโนมัติในกระบวนการผลิตกระเบื้อง ครอบหลังคา และแผ่นฝ้าผนังสมาร์ทบอร์ด ทำให้สินค้ามีคุณภาพมาตรฐาน ลดของเสียและต้นทุนการบริหารจัดการ พร้อมทั้งเริ่มนำ AI เข้ามาช่วยลดขั้นตอนในการออกแบบและพัฒนาสินค้าใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ

ในส่วนของเอสซีจี เดคคอร์ ใช้ระบบอัตโนมัติในการเคลื่อนย้ายชิ้นงานกระเบื้องและสุขภัณฑ์ รวมถึงใช้ AI ช่วยในการออกแบบสินค้า จำลองกระบวนการผลิต ตรวจสอบคุณภาพ และบริหารคลังสินค้า สำหรับเอสซีจีซี โรงงานนวพลาสติกอุตสาหกรรมที่ผลิตท่อและข้อต่อ PVC ได้นำหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในสัดส่วนที่เทียบเท่าระดับ Best in Class ของโลก พร้อมใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เพื่อลดระยะเวลาในการพัฒนาพอลิเมอร์ ส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร

การลดต้นทุนบริหารจัดการ เอสซีจีได้ดำเนินมาตรการลดต้นทุนบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการรวมศูนย์การผลิตของโรงงานที่มีความซ้ำซ้อนเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดความซับซ้อน และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น การรวมศูนย์ดังกล่าวช่วยให้การบริหารจัดการทรัพยากรเป็นไปอย่างเหมาะสม ส่งผลให้ต้นทุนโดยรวมขององค์กรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมทั้งเสริมสร้างความคล่องตัวในการตอบสนองความต้องการของตลาดและลูกค้าได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

3.) ดัน “สินค้า Smart Value – HVA – Green” รุกตลาดเติบโตสูง

เร่งขยาย สินค้าราคาคุ้มค่า (Smart Value Products – SVP) ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน เช่น “ปูน ADAMAX” ในเวียดนาม “ปูน 5 Star” ในกัมพูชา “ปูน Bezt” ในอินโดนีเซีย โดย เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์­ “หลังคาเซรามิก เอสซีจี รุ่น Celica Curve” โดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และ “กระเบื้อง และสุขภัณฑ์ SOSUCO” โดย เอสซีจี เดคคอร์

เอสซีจีเดินหน้าเร่งขยายสินค้าราคาคุ้มค่า (Smart Value Products – SVP) เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่เน้นความคุ้มค่าและคุณภาพ โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์หลากหลายแบรนด์ในแต่ละประเทศ อาทิ “ปูน ADAMAX” ในเวียดนาม, “ปูน 5 Star” ในกัมพูชา และ “ปูน Bezt” ในอินโดนีเซีย ภายใต้การดำเนินงานของเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ รวมถึงสินค้าอื่นที่ช่วยเติมเต็มความต้องการของตลาด เช่น “หลังคาเซรามิก เอสซีจี รุ่น Celica Curve” จากเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และ “กระเบื้อง และสุขภัณฑ์ SOSUCO” ภายใต้แบรนด์ของเอสซีจี เดคคอร์ ตอบสนองผู้บริโภคที่มองหาทางเลือกที่คุ้มค่าแต่ยังคงมาตรฐานคุณภาพในระดับสากล

เอสซีจี เดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตผ่านสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products – HVA) และโซลูชันนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดยุคใหม่ โดยเฉพาะด้านพลังงาน ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม เช่น “CHILLOX” โซลูชันประหยัดพลังงานสำหรับคลังสินค้าห้องเย็น ที่สามารถลดการใช้ไฟฟ้าและกักเก็บความเย็นได้นานในกรณีฉุกเฉิน โดยนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตพอลิโอเลฟินส์มาต่อยอดสร้างธุรกิจใหม่ และ “DRS” (Digital Reliability Service Solutions) โซลูชันดิจิทัลครบวงจรสำหรับภาคอุตสาหกรรมรายแรกของโลกโดยเอสซีจีซี ที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพและความเสถียรของกระบวนการผลิตผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์

นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างและตกแต่งที่โดดเด่น เช่น “ฝาปิดท่อคอนกรีตกำลังอัดสูง” ที่ใช้เทคโนโลยีคอนกรีตสมรรถนะสูงพิเศษ เพิ่มความทนทาน ลดเสียง และลดอุบัติเหตุบนท้องถนน รวมถึง “ปูนจับเซี้ยมสำเร็จรูป” รายแรกในไทยที่ช่วยช่างงานปูนแต่งมุมได้ง่ายและแม่นยำ โดยเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ สำหรับกลุ่มที่อยู่อาศัย มีนวัตกรรมอย่าง “ONNEX ArcBox” เพื่อป้องกันไฟไหม้ลุกลามแผงโซลาร์, “ผนังสมาร์ทบอร์ด ซูเปอร์” ที่แข็งแรงและยืดหยุ่นยิ่งขึ้น,

“ฟิล์มติดอาคาร Raycoool” ที่ใช้เทคโนโลยี Radiative Cooling และวัสดุตกแต่งภายในคุณภาพสูงจากเอสซีจี เดคคอร์ เช่น “สุขภัณฑ์อัตโนมัติ รุ่น Klirr”, “Standard Click Lock”, และ “กระเบื้อง X STRONG” ที่กันรอยขีดข่วน รับน้ำหนักได้สูง และมีคุณสมบัติกำจัดเชื้อแบคทีเรีย—all reflecting SCG’s commitment to value-driven innovation

เอสซีจี เดินหน้ายกระดับนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ผ่านการพัฒนา “สินค้ากรีน” (Green Products) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ เช่น “ประตูหน้าต่างไวนิลคาร์บอนต่ำ WINDSOR” รายแรกในไทย โดยเอสซีจีซี ที่ลดการปล่อยคาร์บอนตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการใช้งานจริง และ “กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น DECAAR by SCG รุ่นคอมฟอร์ท” จากเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ที่ใช้เทคโนโลยี HeatSync ช่วยสะท้อนและคายความร้อนได้อย่างรวดเร็ว ทำให้พื้นเย็นสบายยิ่งขึ้น เป็นทางเลือกที่ทั้งประหยัดพลังงานและสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในระยะยาว

คุณธรรมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้สถานการณ์สงครามการค้าและเศรษฐกิจโลกจะยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่เอสซีจียังคงเดินหน้าด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจน การปรับตัวอย่างรวดเร็ว และแรงสนับสนุนจากทีมงานทุกกลุ่มธุรกิจ ซึ่งเป็นพลังสำคัญที่ช่วยรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันขององค์กรอย่างมั่นคง พร้อมกันนี้ เอสซีจียังให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรในทุกมิติของระบบนิเวศธุรกิจ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

โดยในช่วงสิงหาคมถึงตุลาคม 2568 เอสซีจีเตรียมจัดโครงการสำคัญ เช่น ‘NZAP: Net Zero Accelerator Program’ และ ‘Go Together’ อย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการจัดงาน ‘ESG Symposium’ ซึ่งเป็นเวทีสำคัญที่เปิดรับแนวคิดจากองค์กรชั้นนำระดับโลกและระดับประเทศ อาทิ สำนักงานประสานงานการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (DCO), สถาบัน MIT, ธนาคารแห่งประเทศไทย, TDRI และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เพื่อร่วมกันหาแนวทางเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจไทย และเร่งผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Transition) อย่างเป็นรูปธรรม เตรียมพร้อมรับมือกับทุกความท้าทายในระดับโลก

You may also like

The-Perspective แหล่งรวมองค์ความรู้ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ เกาะติดข่าวสารคาดการณ์อนาคต

Tel:  081-619-9494
Email:
editor@the-perspective.co
naiyanaone@gmail.com

Total Visit:

341,689

341,689

Editors' Picks

Latest Posts

The-Perspective © All Right Reserved.

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการใช้งานของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อเก็บข้อมูลและรวบรวมสถิติวิจัยทางด้านการตลาด การวิเคราะห์แนวโน้ม ตลอดจนนำมาปรับปรุง และควบคุมการทำงานของเว็บไซต์ ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอม ท่านยังสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้ปกติ ยอมรับทั้งหมด