บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 มีรายได้จากการขายรวม 30,438 ล้านบาท, EBITDA 4,154 ล้านบาท, และกำไรสำหรับงวด 953 ล้านบาท จากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นและการเติบโตของบรรจุภัณฑ์เพื่อผู้บริโภคในภูมิภาคอาเซียนตามแผน พร้อมบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และบูรณาการห่วงโซ่อุปทานของโรงงานในภูมิภาคเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
คุณวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCGP เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในอาเซียนไตรมาส 3 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จากการบริโภคในประเทศและการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในช่วงเตรียมพร้อมก่อนเทศกาลปลายปี ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยของกระดาษบรรจุภัณฑ์และเยื่อกระดาษปรับลดลงตามทิศทางตลาดภูมิภาค
SCGP เดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจผ่านกลยุทธ์การเติบโตในประเทศกลุ่มอาเซียน ด้วยโมเดลธุรกิจแบบครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่เยื่อกระดาษ บรรจุภัณฑ์กระดาษ ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์เพื่อผู้บริโภค (Consumer Packaging) เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าและตลาดที่มีความหลากหลาย พร้อมขยายโอกาสสู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น อินเดียและออสเตรเลีย
การขยายตลาดในภูมิภาคช่วยให้ปริมาณการขายบรรจุภัณฑ์เพื่อผู้บริโภคในกลุ่มธุรกิจหลักเติบโตต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรและธุรกิจเยื่อและกระดาษ แม้ว่าราคาเฉลี่ยจะลดลงตามทิศทางตลาด แต่ประสิทธิภาพการดำเนินงานและการจัดการต้นทุนช่วยให้บริษัทรักษาความสามารถในการทำกำไรได้อย่างมั่นคง
SCGP ยังเน้นยกระดับกระบวนการผลิตและการจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้ พลังงานทดแทนถึง 38.6% พร้อมนำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาประยุกต์ใช้ในระบบผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและลดความสูญเสีย อีกทั้งยังบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาค (Regional Optimization) เพื่อให้โรงงานในแต่ละประเทศสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันได้อย่างยืดหยุ่น

ในไตรมาส 3 ปี 2568 SCGP มีรายได้จากการขายรวม 30,438 ล้านบาท ลดลง 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน และลดลง 4% จากไตรมาสก่อน ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 4,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากปีก่อน แม้ลดลง 2% จากไตรมาสก่อน ส่วนกำไรสุทธิ 953 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 65% จากปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการของธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในอินโดนีเซียที่ปรับตัวดีขึ้น
แม้รายได้ลดลงตามราคาขายเฉลี่ยของสินค้า แต่ SCGP สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ดี จากการบริหารจัดการต้นทุนพลังงานและสาธารณูปโภคในกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ EBITDA Margin ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนความแข็งแกร่งด้านโครงสร้างการเงินและการบริหารองค์กร
คุณวิชาญกล่าวว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในอาเซียนไตรมาส 4 มีทิศทางเชิงบวก โดยการบริโภคในภูมิภาคฟื้นตัวจากการเติมสต๊อกสินค้าช่วงปลายปี โดยเฉพาะสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม และอุปโภคบริโภค ซึ่งได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น โครงการ “คนละครึ่ง” และมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลต่อความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น
ด้านราคาขายบรรจุภัณฑ์กระดาษและพอลิเมอร์คาดว่าจะทรงตัว ขณะที่ราคากระดาษบรรจุภัณฑ์และเยื่อเคมีละลายมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากดีมานด์ที่เริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้ภาพรวมตลาดบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคยังคงสดใสในช่วงปลายปี
SCGP ยังเดินหน้ากลยุทธ์เสริมความแข็งแกร่งในตลาดอาเซียน ล่าสุดได้ลงนามในสัญญาซื้อหุ้นแบบมีเงื่อนไขเพื่อเข้าถือหุ้น ร้อยละ 100 ในบริษัท PT Prokemas Adhikari Kreasi (MYPAK) ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษคุณภาพสูงในประเทศอินโดนีเซีย โดยมีมูลค่ากิจการไม่เกิน 455 พันล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 956 ล้านบาท
MYPAK ตั้งอยู่ในเมืองเบกาซี (Bekasi) ทางตะวันตกของเกาะชวา ใกล้ฐานการผลิตของ PT Fajar Surya Wisesa Tbk. หนึ่งในบริษัทในเครือ SCGP โดยมีฐานลูกค้าเป็นบริษัทข้ามชาติและแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำในประเทศ การลงทุนครั้งนี้จะสร้าง Synergy กับธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ในเครือ และช่วยเพิ่มโอกาส Cross-Selling จากฐานลูกค้ากลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภคในอาเซียน
คาดว่าการเข้าซื้อกิจการ MYPAK จะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 4 ปี 2568 และจะช่วยเสริมศักยภาพการผลิตในภูมิภาค เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารต้นทุน และยกระดับการบูรณาการห่วงโซ่อุปทาน (Value Chain Integration) ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การเติบโตในระยะยาวของ SCGP
นอกจากกลยุทธ์การขยายธุรกิจแล้ว SCGP ยังให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 25% ภายในปี 2573 และมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2593 ผ่านการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
บริษัทได้พัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำและรีไซเคิลได้ รวมถึงขยายความร่วมมือกับลูกค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำ 6 ราย ในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่มีฉลาก คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP) เพื่อแสดงข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้า ช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันของทั้ง SCGP และลูกค้า
การพัฒนาดังกล่าวไม่เพียงตอบโจทย์เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำบทบาทของ SCGP ในการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ครบวงจรของอาเซียน ที่ผสานนวัตกรรม เทคโนโลยี และความยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนและสร้างคุณค่าร่วมให้กับสังคม
ด้วยศักยภาพทางธุรกิจที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งฐานการผลิตที่แข็งแกร่งในอาเซียน การบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และการลงทุนเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง SCGP จึงพร้อมขับเคลื่อนการเติบโตสู่ระดับภูมิภาคอย่างมั่นคง โดยยึดแนวทาง “เติบโตอย่างยั่งยืนด้วยนวัตกรรมและคุณค่า” เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไทยให้เป็นศูนย์กลางของอาเซียน และสร้างความสมดุลระหว่างผลประกอบการทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมในระยะยาว