คุณพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในปีงบประมาณ 2568 (1 ตุลาคม 2567 – 30 กันยายน 2568) สะท้อนถึงความสำเร็จของการบริหารจัดการกองทุนภายใต้นโยบายของรัฐบาลและกระทรวงพลังงาน ที่มุ่ง “ลดค่าใช้จ่ายพลังงาน เพิ่มรายได้ประชาชน และสร้างเสถียรภาพด้านราคาพลังงาน” โดยผลการดำเนินงานตลอดปีถือเป็นสัญญาณเชิงบวกว่ากองทุนกลับมามีความแข็งแกร่งมากขึ้น หลังต้องรับภาระในช่วงวิกฤตราคาน้ำมันโลกหลายปีที่ผ่านมา
ปี 2568 เป็นปีที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วโลกมีความผันผวนสูงจากปัจจัยทั้งเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ แต่โดยรวมราคายังอยู่ในระดับไม่สูงมากนัก โดยข้อมูล ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2568 ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 70.60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล, น้ำมันดีเซลเฉลี่ย 87.73 เหรียญฯ, น้ำมันเบนซินเฉลี่ย 80.98 เหรียญฯ, และก๊าซ LPG เฉลี่ย 548.68 เหรียญฯ ต่อตัน ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2567 ที่ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 79.57 เหรียญฯ ถือว่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
สาเหตุสำคัญของการปรับลดราคามาจากเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว การเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ และสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น อิสราเอล–อิหร่าน และ รัสเซีย–ยูเครน ที่แม้ยังคงยืดเยื้อ แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงเท่าปีก่อนหน้า ส่งผลให้ตลาดน้ำมันมีเสถียรภาพมากขึ้น และช่วยลดแรงกดดันต่อราคาพลังงานในประเทศ
คุณพรชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ฐานะการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในปี 2568 มีพัฒนาการเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง โดยระดับการติดลบอยู่ในระดับ “ต่ำสุดในรอบ 3 ปี” ซึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการเงินกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และมาตรการควบคุมรายจ่ายที่สอดคล้องกับสภาวะตลาด ทั้งนี้ สกนช. มั่นใจว่าจะสามารถชำระหนี้เงินกู้ที่เกิดขึ้นในช่วงภาวะวิกฤตราคาพลังงานได้ครบภายในระยะเวลาที่กำหนด
สำหรับแนวโน้มปี 2569 สกนช. คาดว่าราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจะทรงตัวในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 60–70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล, น้ำมันดีเซล 75–85 เหรียญฯ, น้ำมันเบนซิน 70–80 เหรียญฯ, และก๊าซ LPG 460–500 เหรียญฯ ต่อตัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้กับกองทุนและเอื้อต่อการดูแลราคาพลังงานในประเทศได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย “Quick Big Win” เพื่อดูแลราคาพลังงานให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจจริง ควบคู่กับการยกระดับความโปร่งใสและพัฒนาเครื่องมือทางการเงินให้ทันสมัยมากขึ้น โดยมีเป้าหมายหลักคือ “ดูแลราคาพลังงานเพื่อประชาชน” สร้างเสถียรภาพพลังงาน และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
กองทุนน้ำมันฯ ปี 2568 ฟื้นตัวต่อเนื่อง! เดินหน้านโยบาย Quick Big Win ดูแลราคาพลังงาน–ลดภาระค่าครองชีพประชาชน โดยตลอดปีที่ผ่านมา สกนช. ดำเนินมาตรการหลากหลายเพื่อดูแลราคาพลังงานให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ ลดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน ซึ่งผลการดำเนินงานที่สำคัญของสำนักงานกองทุนน้ำมันฯ ในช่วงปี 2568 มีดังนี้
1. ปรับลดราคาน้ำมันดีเซลและเบนซินช่วงเทศกาลสงกรานต์
ในช่วงเดือนมีนาคม–เมษายน 2568 กองทุนน้ำมันฯ ได้ปรับลดการจัดเก็บเงินในกลุ่มน้ำมันดีเซลและเบนซิน 2 ครั้ง ครั้งละ 0.50 บาท/ลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลงรวม 1 บาทต่อลิตร เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์และกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการตามนโยบาย Quick Big Win โดยร่วมมือกับผู้ค้าน้ำมันให้ปรับลดราคาขายปลีกเพิ่มเติม — ดีเซลลดลง 1 บาทต่อลิตร และเบนซินลดลง 0.80 บาทต่อลิตร — เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง
2. ตรึงราคาน้ำมันดีเซลช่วง “สงคราม 12 วัน” อิสราเอล–อิหร่าน
เมื่อเกิดเหตุความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกผันผวนรุนแรง กองทุนน้ำมันฯ ได้เข้ามาดูแลทันที โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติปรับลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนรวม 5 ครั้งภายใน 1 สัปดาห์ จากเดิมจัดเก็บน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 2.40 บาท/ลิตร เหลือเพียงชดเชย 0.65 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกดีเซลยังคงไม่เกิน 32 บาท/ลิตร สะท้อนบทบาทของกองทุนในการรักษาเสถียรภาพราคาพลังงานช่วงวิกฤตโลก
3. ปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันรองรับการขึ้นภาษีสรรพสามิต
สกนช. ดำเนินการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้สอดรับกับการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลและเบนซิน เพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกกระทบต่อผู้บริโภค โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ (1) ปรับลดอัตราเงินกองทุนเท่ากับอัตราภาษีสรรพสามิตและภาษีเพื่อราชการส่วนท้องถิ่นตามมติคณะรัฐมนตรี และ (2) พิจารณาค่าการตลาดที่เหมาะสมเพื่อคงเสถียรภาพราคาหน้าปั๊ม ซึ่งช่วยให้ประชาชนยังคงสามารถเข้าถึงพลังงานในราคาที่เป็นธรรม
4. ตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ต่อเนื่องไม่เกิน 423 บาท/ถัง
อีกหนึ่งมาตรการสำคัญคือการคงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม (LPG) ไว้ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยการประชุม กบน. มีมติขยายระยะเวลาตรึงราคาถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2568 เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของครัวเรือนและผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งสะท้อนถึงความต่อเนื่องของนโยบายภาครัฐในการดูแลพลังงานพื้นฐานเพื่อประชาชน
5. ฟื้นฟูฐานะกองทุน แข็งแกร่งสุดในรอบ 3 ปี
ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ฟื้นตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน จากที่ติดลบ 99,087 ล้านบาท ณ วันที่ 29 กันยายน 2567 และมีหนี้เงินกู้เท่ากัน ล่าสุดวันที่ 2 พฤศจิกายน 2568 ฐานะกองทุนติดลบเหลือเพียง 13,274 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันบวก 27,965 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ 41,239 ล้านบาท ขณะที่หนี้เงินกู้เหลือเพียง 31,804 ล้านบาท ถือเป็นระดับ “ต่ำสุดในรอบ 3 ปี” ซึ่งเป็นผลจากการบริหารสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพและการปรับโครงสร้างทางการเงินที่เหมาะสม
ดังนั้นผลการดำเนินงานของ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในปี 2568 สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของกองทุนในการรักษาเสถียรภาพราคาพลังงาน ควบคู่กับการช่วยเหลือประชาชนในภาวะเศรษฐกิจเปราะบาง พร้อมเดินหน้าตามนโยบาย Quick Big Win เพื่อ “ลดภาระพลังงาน เพิ่มเสถียรภาพเศรษฐกิจ” อย่างต่อเนื่องสู่ปี 2569
คุณพรชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ปี 2568 ถือเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยฐานะทางการเงินของกองทุนเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง สะท้อนถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่รอบคอบและโปร่งใส ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการดำเนินนโยบายภาครัฐเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาพลังงานให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน
หากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบัน คาดว่าภายในสิ้นปี 2568 กองทุนน้ำมันฯ จะมีฐานะเป็นบวกได้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี และเชื่อมั่นว่าจะสามารถชำระหนี้เงินกู้ธนาคารทั้งหมดได้ครบตามกรอบเวลาที่กำหนดภายในปี 2572 หรือเร็วกว่านั้น หากราคาน้ำมันไม่ผันผวนมากเกินไป ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของการฟื้นฟูเสถียรภาพทางการคลังของกองทุนและระบบพลังงานไทยโดยรวม
ทั้งนี้ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยืนยันว่า ทุกขั้นตอนของการดำเนินงานเป็นไปตามหลัก “เปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้” ภายใต้นโยบาย “Quick Big Win” ของกระทรวงพลังงาน เพื่อดูแลราคาพลังงานให้เป็นธรรมและยั่งยืนต่อประชาชน โดยมีคุณอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ทำหน้าที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สำคัญนี้ เพื่อสร้างเสถียรภาพด้านพลังงานและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว