Home » ไทยควรอยู่ตรงไหนในระบบนิเวศ AI เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน  

ไทยควรอยู่ตรงไหนในระบบนิเวศ AI เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน  

1.8K views

บทความโดย รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอุบัติใหม่ (Thought Leader in Emerging Technologies)

ก้าวทันกระแส AI transformation ประเทศไทยควรวางยุทธศาสตร์ด้านใด เพื่อประโยชน์และความสำเร็จ ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ใช้

ปัจจุบันเทคโนโลยี AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนอย่างมาก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทักษะการทำงาน อาชีพต่างๆ  โครงสร้างการทำงาน และแม้แต่การใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้นทักษะความรู้ทางด้าน AI โดยเฉพาะ Generative AI จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งกับคนไทย ถ้าเราจะต้องสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศให้สามารถยืนอยู่บนเวทีโลกได้ เราต้องเร่ง Upskill/ReSkill คนในทุกระดับ

นโยบาย AI ด้านการศึกษาไทย

เราเห็นการเริ่มผลักดันนโยบายในหลายมิติเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับประเทศ ตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วในเรื่องของ AI หนึ่งในนั้นคือ AI for Education ซึ่งมุ่งเน้นการนำ AI มาใช้ในการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาศักยภาพของคนไทยให้สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI ประเมินความรู้ความสามารถของผู้เรียน ออกแบบหลักสูตรให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ไปจนถึงการสร้าง “ครู AI” ที่จะช่วยให้เด็กทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียมกัน สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา

ขณะเดียวกันก็มีนโยบาย AI Workforce Development ที่มุ่งพัฒนาบุคลากรด้าน AI และสร้างพื้นฐานให้คนไทยทั้งในระบบการศึกษาและตลาดแรงงาน โดยมีเป้าหมายหลักของนโยบายคือการแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้าน AI ซึ่งปัจจุบันมีความต้องการในตลาดแรงงานกว่า 80,000 ตำแหน่ง

ทั้งนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ตั้งเป้าผลิตกำลังคนด้าน AI ให้ได้อย่างน้อย 30,000 คน โดยแบ่งเป็น 3 ระดับคือ ผู้เชี่ยวชาญ AI (AI Professional) วิศวกร AI (AI Engineer) และผู้ใช้งาน AI ระดับเริ่มต้น (AI Beginner)

ล่าสุดรัฐมนตรีกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล ได้ออกประกาศกำหนดให้ทุกมหาวิทยาลัยต้องประเมินและบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในหลักสูตรทุกระดับ โดยเน้นทั้งสายวิทยาศาสตร์ สังคม และรายวิชาศึกษาทั่วไป เพื่อเตรียมบุคลากรให้รู้เท่าทันและใช้ AI ได้อย่างเหมาะสมในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมด้าน AI Innovation เพื่อสนับสนุนนวัตกรรม AI สู่ตลาดและยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจล่าสุดกลับพบว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังขาดความมั่นใจที่จะลงทุนใช้งาน AI เนื่องจากปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร งบประมาณ และยังมองไม่เห็นประโยชน์ที่ชัดเจนนัก

นโยบายต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญและเป็นทิศทางที่ถูกต้อง แต่ทว่าภายใต้นโยบายที่มุ่งสร้างบุคลากรจำนวนหนึ่งให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ กลับมีคำถามสำคัญซ่อนอยู่ว่า ลำพังแค่การเป็นผู้ใช้ที่เชี่ยวชาญเพียงพอแล้วหรือที่จะผลักดันให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันบนเวทีโลกที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการสร้างคนที่สามารถจะรู้เท่าทันกับด้าน Generative AI ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

ระบบนิเวศ AI

หากเรามองภาพรวมของระบบนิเวศ AI ทั้งหมด จะเห็นว่าเทคโนโลยีนี้มีองค์ประกอบ 5 ชั้นดังภาพประกอบ  ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานอย่างชิปประมวลผล ไปจนถึงแอปพลิเคชันที่เราใช้งานกันในชีวิตประจำวัน การที่เราเน้นพัฒนาคนส่วนใหญ่ไปในทางการใช้แอปพลิเคชันหรือเครื่องมือ AI ต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว ก็มีความเสี่ยงในการที่จะต้องพึ่งพาแอปพลิเคชันและโมเดล AI ของต่างชาติอยู่เสมอ ซึ่งนั่นไม่ใช่การสร้างศักยภาพการแข่งขันที่ยั่งยืน

เพื่อให้องค์กรและประเทศสามารถแข่งขันได้จริง เราจำเป็นต้องมีแอปพลิเคชันหรือ AI Agent เอง ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากฐานความรู้และข้อมูลบริบทของไทย (Local Context) การพึ่งพาเพียงเครื่องมืออย่าง ChatGPT หรือ Gemini ซึ่งขาดความเข้าใจในบริบทเฉพาะทางของสังคมและเศรษฐกิจไทย ย่อมไม่สามารถตอบโจทย์ที่ซับซ้อนของเราได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

แต่เมื่อพิจารณาว่าประเทศเราจะมาสร้าง AI เองทั้งหมด ในทุกองค์ประกอบของระบบนิเวศของ AI ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบนั้นเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งก็คือชิป AI และระบบคลาวด์/ดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่นั้น เรายังคงต้องพึ่งพาเทคโนโลยีและการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลก การมุ่งเน้นความร่วมมือและดึงดูดการลงทุนเพื่อให้มีดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศจึงเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดในส่วนนี้

ทำไมไทยควรหันมาพัฒนา “โมเดลเฉพาะทาง”

เมื่อขยับขึ้นมาในชั้นของ “โมเดล AI” ซึ่งเปรียบเสมือนสมองของ AI เราคงไม่สามารถและไม่ควรที่จะแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยีต่างชาติขนาดใหญ่ (Big Tech) เพื่อสร้างโมเดลขนาดใหญ่ระดับโลกได้ เนื่องจากต้องใช้งบประมาณมหาศาล แต่ทางออกของเราคือการไม่พึ่งพาโมเดลจากต่างชาติเพียงอย่างเดียว

เราควรหันมาพัฒนา “โมเดลเฉพาะทาง” ขนาดเล็กที่เหมาะกับบริบทของไทยแทน เช่น โมเดลเพื่อการแพทย์ที่เข้าใจศัพท์เฉพาะทางและโรคที่พบบ่อยในไทย โมเดลเพื่ออุตสาหกรรมการผลิต หรือโมเดลเพื่อการเกษตรอัจฉริยะ การสร้างโมเดลเหล่านี้แม้จะต้องใช้เงินลงทุนและบุคลากรที่มีความสามารถสูง แต่ในระยะยาวจะมีต้นทุนที่ถูกกว่าและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในสาขาที่เราเชี่ยวชาญได้อย่างแท้จริง

การพัฒนาโมเดลเฉพาะทางขนาดเล็กอาจเหมาะกับบริบทของในแต่ละอุตสาหกรรมในบ้านเรา เป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และลดความเสี่ยงในด้านราคาค่าใช้จ่ายถ้าเราพึ่งโมเดล AI ต่างชาติมากไป 

Development Tools จุดที่ประเทศไทยควรทุ่มเท

หัวใจสำคัญที่เชื่อมระหว่างโมเดล AI และแอปพลิเคชันที่ใช้งานง่าย คือ “เครื่องมือในการพัฒนา” และนี่คือจุดที่เราควรทุ่มเททรัพยากรมากที่สุด ทุกวันนี้เครื่องมือในการสร้างแอปพลิเคชัน AI นั้นง่ายขึ้นมากจนคนทั่วไปที่ไม่มีพื้นฐานการเขียนโค้ดก็สามารถเรียนรู้ได้ และทำให้คนทุกคนสามารถพัฒนาแอปพลิเคชัน AI หรือ AI Agent ได้ง่าย

เราต้องเร่งสร้างคนในทุกสายอาชีพนับแสนคนให้สามารถสร้าง AI Agent หรือแอปพลิเคชัน AI ง่ายๆ เพื่อนำไปใช้พัฒนากระบวนการทำงานในองค์กรของตนเองได้ คนที่อยู่ในแวดวงธุรกิจหรือมีความรู้เฉพาะทางจะสามารถสร้างเครื่องมือที่ตอบโจทย์ได้ดีกว่านักไอทีเสียอีก นี่คือหนทางสู่การทำ AI Transformation ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง

ซึ่งหากเรามีแอปพลิเคชัน AI ของเราเอง เราก็จะลดค่าใช้จ่ายในการซื้อแอปพลิเคชันของต่างชาติ ที่เราต้องสูญเสียเงินไปมหาศาล เพื่อใช้เครื่องมือ AI อย่างแอปพลิเคชัน Generative AI ต่างๆ และในอนาคตเราอาจจะได้ AI Agent หรือโปรแกรมผู้ช่วยงานอัจฉริยะจำนวนมากที่สร้างจากคนไทย มาทำงานช่วยเราเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ

ท้ายที่สุด องค์ประกอบบนสุดคือการใช้งานแอปพลิเคชัน แน่นอนว่าคนไทยทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะใช้ AI ให้เป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน เหมือนกับที่เราใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน แต่กลยุทธ์ของชาติที่สมบูรณ์จะต้องมองให้ลึกลงไปกว่านั้น เราต้องสร้างทั้งผู้สร้างและผู้ใช้ไปพร้อมกัน

โดยสรุปแล้ว ทิศทางของประเทศไทยในยุค AI ควรเป็นการเดินหน้าอย่างมีกลยุทธ์ โดยยอมรับในสิ่งที่เราทำไม่ได้ และมุ่งเน้นในสิ่งที่เราสามารถสร้างความแตกต่างได้ นั่นคือการลงทุนสร้าง “โมเดลเฉพาะทาง” ของเราเอง และที่สำคัญที่สุดคือการ “สร้างคนหมู่มากให้เป็นผู้สร้าง” สามารถพัฒนาแอปพลิเคชัน AI ง่ายๆ ได้ด้วยตนเอง เพื่อปลดล็อกศักยภาพของประเทศและก้าวสู่การเป็นผู้แข่งขัน ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ใช้เทคโนโลยีของคนอื่นอีกต่อไป

You may also like

The-Perspective แหล่งรวมองค์ความรู้ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ เกาะติดข่าวสารคาดการณ์อนาคต

Tel:  081-619-9494
Email:
editor@the-perspective.co
naiyanaone@gmail.com

Total Visit:

378,123

378,123

Editors' Picks

Latest Posts

The-Perspective © All Right Reserved.

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการใช้งานของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อเก็บข้อมูลและรวบรวมสถิติวิจัยทางด้านการตลาด การวิเคราะห์แนวโน้ม ตลอดจนนำมาปรับปรุง และควบคุมการทำงานของเว็บไซต์ ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอม ท่านยังสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้ปกติ ยอมรับทั้งหมด