Home » การเลือกตั้งในอเมริกา (ตอน3) ได้เสียงข้างมากก็อาจไม่ได้เป็น ปธน.

การเลือกตั้งในอเมริกา (ตอน3) ได้เสียงข้างมากก็อาจไม่ได้เป็น ปธน.

โดย 2 Cents
121 views

คอลัมน์ เรื่องเล่าจากต่างแดน โดย 2 Cents

เราอธิบายเรื่อง Electoral Voting ไปในตอนที่แล้วว่า ผลการเลือกตั้งไม่ขึ้นกับจำนวนคะแนน แต่ขึ้นกับจำนวน Electors ที่ผู้สมัครได้รับ และจำนวน Electors ต่อประชากรในรัฐเล็กๆ นั้นมีมากกว่ารัฐใหญ่ๆ ซึ่งก็เหมือนกับการที่หนึ่งเสียงของคนในรัฐเล็กมีค่ามากกว่าหนึ่งเสียงของคนในรัฐใหญ่

ส่วน Popular Vote นั้นก็คือ ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากแบบปกติ คือใครได้เสียงมากกว่าก็ชนะไป

เพราะระบบการเลือก ปธน. อเมริกาใช้ระบบ Electoral College ไม่ได้ใช้คะแนนเสียงส่วนมาก จึงมีโอกาสที่ผู้สมัครที่ได้เสียงข้างมาก (ที่เขาเรียกว่า Popular Vote) ไม่ได้รับเลือกให้เป็น ปธน. (ใช่ค่ะ ประเทศประชาธิปไตยจ๋า ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ได้เสียงมากกว่าจะได้รับเลือกเสมอไปนะคะ)

เราขอยกตัวอย่างง่ายๆ ที่อาจจะสุดขั้วไปหน่อย แต่เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนสุดถึงกรณีที่ผู้ลงสมัครได้เสียงส่วนมาก (ชนะ Popular Vote) แต่ไม่ได้รับเลือกเป็น ปธน. เพราะได้ Electoral Votes น้อยกว่า

(จากภาพ จำนวนประชากรปี 2023 และจำนวน Elector ของ 10 รัฐที่ประชากรมากที่สุดในอเมริกา ข้อมูลประชากรจาก U.S. Census Bureau)

จากตารางข้างบนสมมติว่าประชากรในรัฐใหญ่สุด 10 รัฐในอเมริกา ซึ่งมีประมาณ 181 ล้านคน ลงคะแนนให้ผู้สมัคร A หมดเลย ผู้สมัคร A จะได้ 254 Electors

และประชากรในอีก 40 รัฐที่เหลือ และ Washington D.C. ซึ่งมีประมาณไม่ถึง 155 ล้าน ลงคะแนนให้ผู้สมัคร B หมด ผู้สมัคร B จะได้ 284 Electors

ผู้สมัคร B ก็จะได้เป็น ปธน. เพราะ ได้ Electoral Votes มากกว่าผู้สมัคร A จำนวน 30 เสียง ถึงแม้จะมีคนลงคะแนนให้ผู้สมัคร A มากกว่าถึง 26 ล้านเสียงก็ตาม

เราถึงเรียกระบบนี้ว่าหนึ่งสิทธิ์ หนึ่งเสียงที่ไม่เท่ากัน

ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงกรณีแบบในตัวอย่างนี้จะไม่เกิดขึ้น แต่ที่ผ่านมาเคยมีผลแบบเดียวกัน คือคนที่ได้คะแนนรวมน้อยกว่าได้เป็น ปธน. เกิดขึ้นจริงๆ ตั้งแต่เรามาอยู่อเมริกาเกือบ 30 ปี มีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นสองครั้ง

ครั้งแรกเมื่อปี 2000 โดย George W. Bush (เวลาพูดถึง ปธน George Bush จะต้องใส่อักษรย่อชื่อกลางทุกครั้ง เพราะมี ปธน. ที่ชื่อ George Bush 2 คน คือ George H. Bush เป็น ปธน. ปี 2532-2536 และลูกชายเขาคือ George W. Bush เป็น ปธน. ปี 2544-2552) จากพรรครีพับลิกัน ได้รับคะแนนเสียง 50,456,002 เสียง ได้ทั้งหมด 271 Electoral Votes

ในขณะที่มีคนลงคะแนนให้ Al Gore ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต 50,999,897 เสียง มากกว่า George W. Bush 543,895 เสียง แต่ Al Gore ได้เพียง 266 Electoral Votes

George W. Bush เลยได้เป็น ปธน. ถึงแม้ว่าจะมีคนลงคะแนนให้น้อยกว่า Gore

ครั้งที่ 2 คือเมื่อปี 2016 ที่ Donald Trump ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันได้เป็น ปธน. โดยมีคนลงคะแนนให้ Trump จำนวน 62,984,828 คะแนน ได้ 304 Electoral Votes

ในขณะที่มีคนลงคะแนนให้คู่แข่งคือ Hillary Clinton ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต 65,853,514 คน มากกว่า Trump เกือบ 3 ล้านเสียง แต่ Hillary ได้ Electoral Votes เพียง 227 จึงไม่ได้เป็น ปธน.
(ข้อมูลจาก Federal Election Commission https://www.fec.gov/documents/1889/federalelections2016.pdf)

ทั้งนี้เป็นเพราะรีพับลิกันส่วนมากจะชนะในรัฐเล็กๆ ที่หนึ่งเสียงมีค่ามากกว่าหนึ่งเสียงในรัฐใหญ่ๆ

ถามว่าระบบแบบนี้แฟร์ไหม? ส่วนตัวเราว่าไม่ แต่ในเมื่อระบบเขาเป็นแบบนี้เราก็ต้องยอมรับจนกว่าจะมีใครเปลี่ยนมัน และที่ผ่านมาคนเขาก็ยอมรับในผลการเลือกตั้ง ทั้งตัวนักการเมืองและประชาชน ไม่มีการประท้วงขอเลือกตั้งใหม่ ไม่มีการประท้วงขอให้ใครลาออก ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป รอเวลาเลือกตั้งใหม่แค่นั้น

จนมาถึงปี 2020 ที่ Trump ยุยงให้คนก่อจราจลหาว่าเขาโดนโกงเลือกตั้งนั่นแหละ ถึงมีปัญหา

บทความตอนต่อไปจะนำศัพท์ในการเลือกตั้งมาอธิบาย โปรดติดตามกันนะคะ

You may also like

The-Perspective แหล่งรวมองค์ความรู้ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ เกาะติดข่าวสารคาดการณ์อนาคต

Tel:  081-619-9494
Email:
editor@the-perspective.co
naiyanaone@gmail.com

Total Visit:

N/A

Editors' Picks

Latest Posts

The-Perspective © All Right Reserved.

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการใช้งานของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อเก็บข้อมูลและรวบรวมสถิติวิจัยทางด้านการตลาด การวิเคราะห์แนวโน้ม ตลอดจนนำมาปรับปรุง และควบคุมการทำงานของเว็บไซต์ ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอม ท่านยังสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้ปกติ ยอมรับทั้งหมด