Home » การโจรกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษ จับคนร้ายได้เพราะ “แซนวิช”

การโจรกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษ จับคนร้ายได้เพราะ “แซนวิช”

โดย 2 Cents
98 views

คอลัมน์ เรื่องเล่าจากต่างแดน โดย 2 Cents

วางแผนปฏิบัติการร่วม 4 ปี ฝ่าด่านระบบรักษาความปลอดภัย 10 ระบบ ขโมยเพชรไปได้อย่างง่ายดาย แต่ตายน้ำตื่น คือ ความกังวลเป็นเหตุ จบด้วย “แซนวิช” เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ

ปิดท้ายกันที่การโจรกรรมเพชรที่ได้ชื่อว่าเป็น “การโจรกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษ” (heist of the century)

การโจรกรรมนี้เกิดขึ้นช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 15-16 กุมภาพันธ์ ปี 2003 (2546) ในตึก Antwerp World Diamond Centre ในเมือง Antwerp ประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งเป็นตึกที่ใหญ่ที่สุดและตั้งอยู่ใจกลางย่านค้าเพชรพลอยที่มีระบบความปลอดภัยที่สูงมาก… ประมาณเข้าถ้ำเสือไปเอาลูกเสือกันเลย

ห้องเก็บเซฟที่พวกเขาเข้าไปขโมยนี้มีระบบกันขโมยร่วม 10 ระบบ เริ่มจากประตูที่ใช้ทั้งรหัสที่มีความเป็นไปได้ถึง 100 ล้านรหัส และกุญแจที่ยาวถึงหนึ่งฟุต ระบบตรวจจับการสั่นสะเทือนที่ประตู ระบบสนามแม่เหล็กที่ประตู และกล้องวงจรปิดเหนือประตู

เมื่อเข้าไปในห้องเซฟก็มีระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวและอุณหภูมิ ระบบตรวจจับแสงสว่าง กล้องวงจรปิด แต่พวกเขาก็เข้าไปขโมยออกมาได้ เหมือนหนังเรื่อง Ocean’s Eleven คนเหนือเมฆปล้นลอกคราบเมือง อะไรแบบนั้นเลย

(จาก: ภาพจำลองของห้องเก็บเซฟและระบบรักษาความปลอดภัย ภาพจาก https://www.thenaturalsapphirecompany.com/blog/heist-of-the-century-antwerp-world-diamond-centre)

แน่นอนว่าการขโมยระดับนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ โจรกลุ่มนี้ใช้เวลาวางแผนนานร่วม 4 ปี

เขาทำได้ยังไง?

ทางตำรวจคาดว่าทีมขโมยนี้มีด้วยกันอย่างน้อย 5 คน คือ

1. หัวหน้าแก๊งค์ชื่อ Leonardo Notarbartolo ที่เป็นหัวขโมยมาตั้งแต่เด็ก (ต่อไปขอเรียกว่า “ลีโอ”)

2. คนที่เชี่ยวชาญในการปลอมแปลงกุญแจที่เขาตั้งชื่อว่า “The King of Keys”

3. Elio D’Onório เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสัญญาณเตือนภัยและมีความรู้ทางเทคนิคสูงที่เขาเรียกว่า “The Genius”

4. Ferdinando Finotto เป็นช่างซ่อมกุญแจ ช่างไฟฟ้า ช่างเครื่อง และเป็นคนที่ฝึกการเคลื่อนไหวในความมืดในห้องเป็นอย่างดีที่ชื่อว่า “The Monster”

และ 5. Pietro Tavano เพื่อนเก่าของลีโอที่เป็นคนที่ขี้กังวลและหวาดระแวง ชื่อว่า “The Speedy” โดยแต่ละคนมีหน้าที่แตกต่างกัน

พวกเขาเริ่มจากลีโอปลอมตัวเป็นผู้ค้าเพชรชาวอิตาลีและเช่าออฟฟิศในตึกนี้สองปีครึ่งก่อนการโจรกรรม เพื่อจะได้มีกุญแจเข้าตึกได้ตลอด 24 ชั่วโมง และการเช่าออฟฟิศในตึกยังมาพร้อมกับการเป็นเจ้าของกล่องเซฟในตึกที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินสองชั้น หลังจากเช่าออฟฟิศ ลีโอก็เข้าออกห้องเซฟเป็นประจำ จนเป็นที่คุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทุกคน

ลีโอเข้าไปในตู้เซฟก็เพื่อไปสำรวจและจดจำลักษณะของตู้เซฟ เพื่อนำมาทำตู้เซฟจำลองและซ้อมการโจรกรรมในตู้เซฟจำลองในความมืดจนจำได้หมดว่า อะไรอยู่ตรงไหน เพราะหนึ่งในระบบกันขโมยคือเครื่องตรวจจับแสงสว่าง ดังนั้นการขโมยจึงทำในความมืด เขาใช้กล้องที่เป็นปากกาถ่ายรูปในตึกและในตู้เซฟ และยังซ่อนกล้องไว้เหนือประตูเข้าห้องเซฟ เพื่อถ่ายรูปเวลายามมาเปิดปิดประตูว่ายามใส่รหัสอะไร รูปเหล่านี้ถูกส่งไปใน drive ที่เขาซ่อนไว้ในถังดับเพลิงที่ถูกดัดแปลงและวางอยู่บริเวณใกล้ๆ

จากกล้องที่พวกเขาซ่อนไว้ เขาสังเกตว่ายามมักเดินไปที่ห้องเก็บของใกล้ๆ ห้องเซฟก่อนจะเปิดประตู เขาจึงเข้าไปดูและพบว่ากุญแจประตูที่ยาวร่วมหนึ่งฟุตอยู่ในนั้นซึ่ง “The King of Keys” ได้ทำการก๊อปปี้กุญแจ

ก่อนเกิดเหตุหนึ่งวันลีโอลงไปที่ห้องเก็บเซฟเหมือนปกติ แต่เขาเอาสเปรย์ฉีดผมไปฉีดใส่กล้องตรวจจับความเคลื่อนไหวและอุณหภูมิทำให้กล้องไม่สามารถจับความร้อนได้หลายชั่วโมง ซึ่งกล้องวงจรปิดเก็บภาพได้แต่ด้วยความที่ยามคุ้นเคยกับเขาดีเลยไม่ฉุกใจคิดอะไร

ปฏิบัติการนี้ คิดและฝึกมาอย่างดี

วันก่อเหตุ ลีโอ นั่งอยู่ในรถที่จอดอยู่ใกล้ๆ ติดตามฟังวิทยุสื่อสารของตำรวจเพื่อทราบความเคลื่อนไหวของตำรวจ ในขณะที่ 4 คนที่เหลือเข้าไปในห้องเซฟ ทุกคนสวมถุงมือเพื่อไม่ให้ทิ้งรอยนิ้วมือไว้

เพื่อหลีกเลี่ยงกล้องวงจรปิดที่มีอยู่มากมายรอบตัวตึก กลุ่มโจรเลือกเข้าตึกผ่านทางตึกร้างข้างๆ และปีนขึ้นไปบนระเบียงของตึกโดยใช้แผ่นโพลีเอสเตอร์ขนาดใหญ่ป้องกันความร้อนจากเครื่องตรวจจับ

เมื่อเข้าไปถึงห้องเซฟหัวขโมย ผ่านระบบกันขโมยสนามแม่เหล็กโดย “The Genius” ใช้แผ่นอะลูมิเนียมที่เขาทำขึ้นมา ติดเทปกาวสองหน้าและติดเข้ากับสลักเกลียวสองตัวบนประตูที่มีแท่งแม่เหล็กและสร้างสนามแม่เหล็ก (โดยถ้าสลักเกลียวนี้แยกจากกัน สนามแม่เหล็กจะถูกทำลายและสัญญาณจะทำงาน) แล้วคลายเกลียวหลุดออกมาโดยแท่งแม่เหล็กยังคงอยู่ด้วยกัน และยังคงสร้างสนามแม่เหล็กอยู่สัญญาณแจ้งเตือนจึงไม่ทำงาน

เมื่อเปิดประตูห้องเซฟได้แล้ว “The Monster” เดินในความมืดไปกลางห้องด้วยความรวดเร็ว จากการฝึกในห้องจำลองและทำการลอกเคลือบพลาสติกของสายไฟของระบบกันขโมยออกและติดสายไฟใหม่เพื่อแยกวงจรของระบบทำให้ระบบไม่ทำงาน พวกเขาเอากล่องโฟมบังเซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อน และเอาเทปปิดเซ็นเซอร์ตรวจจับแสงสว่าง

ถึงแม้ว่าเซ็นเซอร์ตรวจจับแสงสว่างจะถูกปิดด้วยเทป พวกเขาก็ทำงานในความมืดจากการจำแผนผังของห้องนิรภัยและใช้ไฟฉายช่วยบ้างเป็นครั้งคราว เมื่อระบบป้องกันภัยทุกอย่างไม่ทำงานทุกคนก็เริ่มทำการเอาของจากกล่องเซฟ โดย “The King of Keys” ใช้แม่แรงแบบมือหมุนพังกุญแจของกล่องนิรภัยแต่ละกล่องแล้วเทของในกล่องเซฟต่างๆ ลงในถุง พวกเขาเปิดเซฟมากกว่า 123 กล่องจากทั้งหมด 160 กล่องที่อยู่ในห้องเซฟ

หลังขโมยพวกเขาได้เอาเทปบันทึกภาพการก่อเหตุออกจากเครื่องและใส่เทปเปล่าไปแทนเพื่อไม่ทิ้งหลักฐานไว้ เมื่อเสร็จประมาณตีห้าครึ่งพวกเขาขนถุงไปใส่ในรถที่ลีโอรออยู่ และแยกกันกลับไปที่อพาร์ทเมนท์ ได้ทรัพย์สินไปเป็นมูลค่ากว่า $100 ล้านเหรียญ

(จากภาพ: ห้องเก็บเซฟที่ถูกขโมย ภาพจาก https://www.thenaturalsapphirecompany.com/blog/heist-of-the-century-antwerp-world-diamond-centre)

จุดชนวนหลักฐาน
หลังเกิดเหตุลีโอกับ “The Speedy” รับหน้าที่ทำลายหลักฐาน โดยตอนแรกวางแผนว่าจะไปเผาทำลายที่ประเทศฝรั่งเศส แต่ “The Speedy” มีความกังวลใจมากอยากทำลายหลักฐานให้เร็วที่สุด ลีโอจึงเปลี่ยนแผนเอาหลักฐานไปเผาในป่าใกล้ๆ

ในขณะที่สองคนแยกกันเผา “The Speedy” เกิดอาการตื่นตระหนกและแทนที่จะเผาหลักฐานกลับโยนมันลงในพุ่มไม้และโคลน เมื่อลีโอเผาส่วนของตัวเองเสร็จมาเห็นก็แก้ไขไม่ทันแล้ว เพราะจะใช้เวลานานเกินไปจึงปล่อยเลยตามเลยและรีบออกจากจุดนั้นโดยคิดว่าคงไม่มีใครเจอ

ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นเจ้าของที่นั้นพบหลักฐานถูกทิ้งไว้กระจัดกระจายจึงแจ้งตำรวจเพราะคิดว่าเป็นการกระทำของกลุ่มวัยรุ่นในบริเวณนั้นที่เขาเคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทมาก่อน

เมื่อเขาบอกว่าขยะบางส่วนประกอบด้วยซองจดหมายจาก Antwerp Diamond Centre ตำรวจจึงสอบสวนทันที ในกองขยะพวกนั้นมีแซนวิชที่ถูกกินเหลือและใบเสร็จรับเงินสำหรับแซนด์วิชจากร้านขายของชำ เมื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดจากร้านขายของชำนั้นตำรวจสามารถระบุได้ว่าคือลีโอ และ DNA จากแซนวิชที่ถูกกินเหลือก็ตรงกับลีโอ

(จากภาพ: หลักฐานที่ถูกทิ้งไว้กระจัดกระจาย ภาพจาก https://www.thenaturalsapphirecompany.com/blog/heist-of-the-century-antwerp-world-diamond-centre)

ใครถูกจับ และเครื่องเพชรหายไปไหน?
ตำรวจจึงจับกุมและดำเนินคดีกับลีโอและผู้ร่วมโจรกรรมอีก 3 คน คือ “The Speedy”, “The Monster” และ “The Genius” โดยลีโอได้รับโทษจำคุก 10 ปี ในขณะที่คนอื่นได้รับโทษจำคุก 5 ปี ภรรยาของทั้ง 4 คนก็ถูกจับและถูกดำเนินคดีด้วย แต่ไม่ได้รับโทษ และถึงแม้จะจับตัวคนร้ายได้เกือบหมด (ยกเว้น “The King of Keys” ที่จับตัวไม่ได้) แต่เพชรพลอยที่ถูกขโมยไปไม่ สามารถตามคืนมาได้และทั้งสี่คนไม่เคยบอกที่ซ่อนเพชรพลอยที่เขาขโมยไป

เรื่องการโจรกรรมก็จบแค่นี้นะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

You may also like

The-Perspective แหล่งรวมองค์ความรู้ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ เกาะติดข่าวสารคาดการณ์อนาคต

Tel:  081-619-9494
Email:
editor@the-perspective.co
naiyanaone@gmail.com

Total Visit:

N/A

Editors' Picks

Latest Posts

The-Perspective © All Right Reserved.

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการใช้งานของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อเก็บข้อมูลและรวบรวมสถิติวิจัยทางด้านการตลาด การวิเคราะห์แนวโน้ม ตลอดจนนำมาปรับปรุง และควบคุมการทำงานของเว็บไซต์ ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอม ท่านยังสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้ปกติ ยอมรับทั้งหมด