Home » “ความเครียด” ของผู้นำในยุคปั่นป่วน

“ความเครียด” ของผู้นำในยุคปั่นป่วน

318 views

บทความโดย ดร.เอื้อมพร ปัญญาใส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน)

ถ้าจะเปลี่ยนความเครียด ให้เป็นความสำเร็จ ต้องทำอย่างไร? และในอีกมุมหนึ่ง ถ้าไม่จัดการกับความเครียด มันคือภัยเงียบที่คุกรุ่นรอการระเบิดโดยไม่รู้ตัว จริงหรือ?

บ่อยครั้งที่เรามักได้ยินคำพูดที่ว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” หรือ “ยิ่งอยู่ในตำแหน่งใหญ่ยิ่งเครียด” การเป็นผู้นำในยุคที่โลกหมุนเร็วกว่าปกติ และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้นำหลายท่านจึงมี “ความเครียด” เป็นเพื่อนสนิทโดยไม่รู้ตัว

จะว่าไปแล้วความเครียดไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีเสมอไป ผู้นำบางท่านบอกว่าในหลายครั้งความเครียดหรือแรงกดดันที่เหมาะสมอาจส่งผลที่ดีไม่ว่าจะเป็นความคิดสร้างสรรค์ หรือแม้แต่สปิริต และพลังฮึกเหิมในการผลักดันไปสู่เป้าหมาย

“ผู้นำ”กับ “ความเครียด” เป็นของคู่กันตามธรรมชาติ
ความเป็นผู้นำโดยธรรมชาติแล้วนั้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่สามารถให้ทั้งคุณและโทษ ความเป็นผู้นำมาพร้อมกับการตัดสินใจ การวางกลยุทธ์ การจัดการทีม และการฝ่าวิกฤติต่างๆ ซึ่งงานเหล่านี้นับวันจะมีความซับซ้อนมากขึ้นจากปัจจัยภายนอก เช่น ความผันผวนของตลาด การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และเหตุการณ์ระดับโลก

สิ่งต่างๆ เหล่านี้จึงเป็นปัจจัยที่ผู้นำต้องดำเนินไปอย่างมีไหวพริบและปรับตัวได้ ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่าผู้บริหารหลายคนเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า “คุ้มไหม” ในการขึ้นไปสู่จุดสูงสุดที่จะต้องมาพร้อมกับภารกิจมากมายที่อาจนำมาซึ่งความเครียด หรือแม้แต่ในผู้บริหารระดับต้นหรือระดับกลางก็เช่นกัน ยิ่งในสังคมคนรุ่นใหม่ ที่อาจจะคำนึงถึง Work Life Balance มากกว่าคนรุ่นก่อนๆ

แต่เมื่อขอบเขตความรับผิดชอบที่มากขึ้น และนำมาซึ่งความเครียดและความสมดุลในการใช้ชีวิต จึงเป็นเรื่องที่ผู้บริหารรุ่นใหม่ให้ความสำคัญมากขึ้น และยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่อัตราผู้ที่อยู่ในภาวะโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ทำให้ผู้บริหารส่วนใหญ่เริ่มมาให้ความสำคัญกับเรื่องการบริหารจัดการความเครียด หรือเริ่มสนใจแนวคิดเกี่ยวกับ Mindfulness (การมีสติ) มากขึ้น

มาทำความรู้จักกับ “ความเครียด” กัน
ก่อนอื่นต้องยอมรับว่า ความเครียดเป็นสิ่งที่มีอยู่ตลอดเวลา ความเครียดถูกกำหนดให้เป็นการตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกายต่อความท้าทาย ความเครียดสามารถแสดงออกมาในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่อะดรีนาลีนที่พลุ่งพล่านในการดำเนินการตามกำหนดเวลาที่จำกัดไปจนถึงภาระเรื้อรังในการจัดการความรับผิดชอบที่ซับซ้อนในระยะยาว

ดังนั้น การทำความเข้าใจประเภทและต้นกำเนิดของความเครียด ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้บริหารที่มุ่งหวังที่จะรักษาประสิทธิภาพสูงสุดโดยไม่กระทบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของตน

ความเครียดแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ ความเครียดเฉียบพลัน และความเครียดเรื้อรัง ความเครียดเฉียบพลันเกิดขึ้นจากแรงกดดันหรือความต้องการที่เกิดขึ้นในทันที เช่น การเตรียมการนำเสนอที่มีความเสี่ยงสูง ในทางกลับกัน ความเครียดเรื้อรังเป็นผลมาจากความกดดันอย่างต่อเนื่อง เช่น ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในที่ทำงาน หรือการแสวงหาเป้าหมายที่ทะเยอทะยานอย่างต่อเนื่อง

สาเหตุของความเครียดในผู้บริหารมืออาชีพ มักเกิดจากหลายแง่มุม ดังนี้

1. ความรับผิดชอบที่มากเกินไป: การสร้างสมดุลระหว่างวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์กับบทบาทหน้าที่ในการปฏิบัติงานเป็นความท้าทายแรกของผู้นำ ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้นำที่มีประสบการณ์สูง

2. ความคาดหวังสูง: ความกดดันในการบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจและรักษาความสามารถในการทำกำไรเป็นต้นเหตุของการสร้างความเครียดให้กับผู้บริหารเป็นอย่างมาก

3. ความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลง: ผู้บริหารจำนวนไม่น้อยที่เครียดกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรม ความผันผวนของตลาด และการปรับโครงสร้างองค์กร เนื่องจากทำให้เกิดความรู้สึกในการควบคุมของผู้บริหารไม่มั่นคง

แม้ว่าความเครียดจะแพร่หลายในทุกระดับขององค์กร แต่การแสดงออกและผลกระทบจะแตกต่างกันไปในผู้นำแต่ละระดับ:

เจ้าของกิจการ: ผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจต้องแบกรับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ต่อความสำเร็จของกิจการ ซึ่งมักจะต้องอดทนต่อความเครียดในระดับสูงที่ได้รับแรงหนุนจากความเสี่ยงทางการเงินและความท้าทายในการดำเนินงาน

ผู้บริหารองค์กร: ผู้นำเหล่านี้เผชิญกับแรงกดดันในการปรับกลยุทธ์องค์กรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยสร้างสมดุลระหว่างวัตถุประสงค์ระยะสั้นกับความยั่งยืนในระยะยาว

ผู้เชี่ยวชาญ: ผู้จัดการระดับกลางและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเผชิญกับความเครียดที่เกี่ยวข้องกับการบรรลุเป้าหมายของแผนก การนำทางพลวัตระหว่างแผนก และการแสวงหาความก้าวหน้าทางอาชีพ

“หยุด” ก่อนเกิดช่องโหว่
วิธีที่ผู้นำสามารถใช้ในการจัดการกับความเครียด ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อประสิทธิผลและผลลัพธ์ขององค์กร มีประเด็นที่ควรตระหนัก ดังนี้

  • ความลังเลหรือล่าช้าในการตัดสินใจ: ความเครียดอาจทำให้การทำงานเกิดการรับรู้ลดลง นำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ดีนัก ผู้นำที่มีประสิทธิภาพ ควรฝึกฝนการมีสติและใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม เช่น การมอบหมายงาน เพื่อบรรเทาความกดดัน
  • พลวัตของทีม: ผู้นำที่มีความเครียดอาจสร้างบรรยากาศที่ตึงเครียดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งส่งผลต่อขวัญและกำลังใจของทีม การสื่อสารแบบเปิดและการเอาใจใส่เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสภาพแวดล้อมการทำงานเชิงบวก
  • นวัตกรรมและความสามารถในการปรับตัว: ความเครียดสามารถขัดขวางความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมได้ ดังนั้นผู้นำควรต้องส่งเสริมวัฒนธรรมเพื่อให้เกิดการทดลองและการเรียนรู้จากความล้มเหลว แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากภายนอกก็ตาม
  • ความเครียดทางอารมณ์: ความกดดันอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลต่อความมั่นคงทางอารมณ์ ซึ่งที่สุดแล้วจะทำให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์ และขวัญกำลังใจโดยรวม
  • สุขภาพกาย: ความเครียดมักสัมพันธ์กับอาการทางกายภาพ เช่น ความเหนื่อยล้า การนอนหลับไม่ปกติ และแม้แต่ปัญหาสุขภาพในระยะยาว หากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม

ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ หากผู้นำปล่อยเอาไว้ก็จะยิ่งสะสมความรุนแรงยิ่งขึ้น และจะนำไปสู่ปัญหา หรือความล้มเหลวในแต่ละด้านที่จะบั่นทอนความสำเร็จขององค์กรในเวลาต่อไป

ทำความเข้าใจกับความเครียดที่สามารถจัดการได้
ไม่ใช่ว่าความเครียดทั้งหมดจะเป็นอันตราย หากแต่ความเครียดในระดับปานกลางสามารถช่วยเพิ่มสมาธิและแรงจูงใจได้ อย่างไรก็ตาม หากปล่อยให้มีความเครียดโดยไม่มีการจัดการ จนกลายเป็นอาการเรื้อรัง สามารถนำไปสู่ความเหนื่อยหน่าย ลดประสิทธิภาพการทำงาน และส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ

เทคนิคการจัดการความเครียดที่มีประสิทธิภาพ
การจัดการความเครียดเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนได้ผ่านการตระหนักรู้ในตนเองและมาตรการเชิงรุก โดยมีเทคนิค ดังนี้

  • การดูแลตัวเอง: ให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกาย และสุขภาพจิตสามารถบริหารจัดการได้ด้วยการทำสมาธิ งานอดิเรก และเวลาที่ใช้ไปนอกงาน
  • การบริหารเวลา: ผู้นำที่มีประสิทธิภาพบริหารจัดการเวลาอย่างรอบคอบ จัดลำดับความสำคัญของงาน และตั้งเป้าหมายที่สมจริง แนวทางนี้ช่วยหลีกเลี่ยงความเหนื่อยหน่ายและรักษาสมาธิไว้ได้
  • การขอความช่วยเหลือ: การสร้างเครือข่ายการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงาน พี่เลี้ยง หรือโค้ชสามารถให้มุมมองที่มีคุณค่าและการสนับสนุนทางอารมณ์ในช่วงเวลาที่ท้าทาย
  • การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง: การลงทุนเพื่อการเติบโตส่วนบุคคลและการพัฒนาทักษะไม่เพียงเพิ่มขีดความสามารถในการเป็นผู้นำ แต่ยังส่งเสริมความยืดหยุ่นเมื่อต้องเผชิญกับความยากลำบากอีกด้วย
  • การมีสติและการทำสมาธิ: การปลูกฝังการฝึกสติสามารถเพิ่มความยืดหยุ่นและส่งเสริมความมั่นคงทางอารมณ์ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ปั่นป่วน
  • การบริหารเวลา: จัดลำดับความสำคัญของงาน มอบหมายอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างไทม์ไลน์ที่สมจริง เพื่อลดแรงกดดันจากกำหนดเวลาที่กำลังจะมาถึง
  • ทางเลือกในการดำเนินชีวิตเพื่อสุขภาพ: การออกกำลังกายเป็นประจำ การนอนหลับที่เพียงพอ และโภชนาการที่สมดุลช่วยเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวม และช่วยให้ผู้บริหารรับมือกับความเครียดในเชิงรุก

เปลี่ยนความเครียด ให้เป็นความสำเร็จ
โดยสรุป ความเครียดเปรียบเสมือนเป็นของแถมที่มาพร้อมกับความเป็นผู้นำของผู้บริหาร วิธีที่ผู้นำบริหารจัดการความเครียดจะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จและสุขภาพจิตที่ดีในระยะยาว การวิเคราะห์ที่มาของความเครียดแบบเป็นระบบและวิเคราะห์ตามหลักทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงการใช้กลไกการรับมือเชิงรุก และการจัดลำดับความสำคัญในการดูแลตนเอง จะทำให้ผู้บริหารสามารถปลูกฝังกรอบความคิดที่ยืดหยุ่น ซึ่งไม่เพียงแต่รักษาสุขภาพส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังขับเคลื่อนความเป็นเลิศขององค์กรอีกด้วย

ความเป็นผู้นำและความเครียดเป็นแง่มุมของชีวิตการทำงานที่เกี่ยวพันกัน โดยแต่ละด้านมีอิทธิพลซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าความเครียดไม่สามารถขจัดออกไปได้ทั้งหมด แต่วิธีที่ผู้นำจัดการความเครียดจะกำหนดความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจ สร้างสรรค์ และเป็นผู้นำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการจัดลำดับความสำคัญในการดูแลตนเอง ส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่สนับสนุน และขัดเกลากลยุทธ์ในการปรับตัว ผู้นำสามารถจัดการกับความเครียดได้อย่างสร้างสรรค์ และรับประกันความสำเร็จที่ยั่งยืนสำหรับตนเองและองค์กรของเขา

โดยพื้นฐานแล้ว เครื่องหมายของผู้นำที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงนั้นไม่เพียงแต่อยู่ที่ความสำเร็จของพวกเขาในสถานการณ์ปกติ หรือในช่วงทะเลสงบเท่านั้น แต่ยังอยู่ในความสามารถในการบังคับทิศทางเรือในสภาวะที่ต้องแล่นผ่านผืนน้ำที่ปั่นป่วนด้วยความมั่นคงและองอาจ เมื่อจัดการอย่างชาญฉลาด ความเครียดจะไม่เป็นอุปสรรค แต่เป็นตัวเร่งให้เกิดการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงในการเป็นผู้นำนั่นเอง

You may also like

The-Perspective แหล่งรวมองค์ความรู้ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ เกาะติดข่าวสารคาดการณ์อนาคต

Tel:  081-619-9494
Email:
editor@the-perspective.co
naiyanaone@gmail.com

Total Visit:

155,976

155,976

Editors' Picks

Latest Posts

The-Perspective © All Right Reserved.

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการใช้งานของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อเก็บข้อมูลและรวบรวมสถิติวิจัยทางด้านการตลาด การวิเคราะห์แนวโน้ม ตลอดจนนำมาปรับปรุง และควบคุมการทำงานของเว็บไซต์ ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอม ท่านยังสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้ปกติ ยอมรับทั้งหมด