บทความโดย ทินกร เหล่าเราวิโรจน์ CEO และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ บริษัท นายเน็ต จำกัด
ในประวัติศาสตร์การเมืองทั่วโลก มีผู้หญิงเพียงไม่กี่คนที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศได้ก่อนอายุ 40 ปี สิ่งที่พวกเธอทำไม่เพียงแต่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงทั่วโลก แต่ยังเป็นตัวอย่างของความเข้มแข็ง ความฉลาด และความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับความท้าทายทางการเมืองและสังคม
ซานนา มาริน (Sanna Marin) – ฟินแลนด์
ซานนา มาริน ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของฟินแลนด์ในปี 2019 เมื่อเธออายุเพียง 34 ปี หลังจากที่นายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้าลาออกจากตำแหน่ง เธอถูกเลือกเป็นผู้นำเพราะความสามารถในการนำเสนอแนวทางใหม่ๆ และเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ เธอได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในการจัดการกับวิกฤตการณ์โควิด-19 และในการส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศในรัฐบาลของเธอ
ความมั่นใจในวิสัยทัศน์ของตัวเองและความสามารถในการนำพาประเทศผ่านวิกฤตเป็นสิ่งสำคัญ ซานนาทำให้เห็นว่าผู้หญิงสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้ถ้าเธอกล้าที่จะนำเสนอแนวทางที่แตกต่างและมุ่งมั่นในเป้าหมายของเธอ
จาซินดา อาร์เดิร์น (Jacinda Ardern) – นิวซีแลนด์
จาซินดา อาร์เดิร์น ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของนิวซีแลนด์ในปี 2017 ขณะที่เธออายุ 37 ปี เธอได้รับตำแหน่งนี้หลังจากที่หัวหน้าพรรคลาออกกะทันหันก่อนการเลือกตั้งเพียง 7 สัปดาห์ ด้วยการนำที่เต็มไปด้วยความเมตตาและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เธอได้รับความชื่นชมจากทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะในการรับมือกับเหตุการณ์โจมตีมัสยิดในไครสต์เชิร์ชและวิกฤตโควิด-19
ความเมตตาและความสามารถในการสื่อสารเป็นสิ่งที่ทำให้จาซินดาประสบความสำเร็จในฐานะผู้นำ การเป็นผู้นำไม่จำเป็นต้องแสดงความเข้มแข็งอย่างเดียว แต่ยังต้องแสดงความเข้าใจและความห่วงใยต่อประชาชนด้วย
ยูเลีย ตีโมเชนโก (Yulia Tymoshenko) – ยูเครน
ยูเลีย ตีโมเชนโก ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของยูเครนในปี 2005 ขณะที่เธออายุ 39 ปี โดยเธอเป็นหนึ่งในผู้นำของการปฏิวัติสีส้ม ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่เรียกร้องประชาธิปไตยและการต่อต้านการคอร์รัปชัน แม้จะเป็นผู้นำที่มีความสามารถและได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง แต่เธอก็ต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายจากความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ
ความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับความท้าทายและการยืนหยัดเพื่อความยุติธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญ แม้จะเผชิญกับแรงกดดันและความขัดแย้ง ยูเลียได้แสดงให้เห็นว่าผู้นำต้องมีความมุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ
เบนาซีร์ บุตโต (Benazir Bhutto) – ปากีสถาน
เบนาซีร์ บุตโต กลายเป็นนายกรัฐมนตรีของปากีสถานในปี 1988 เมื่ออายุ 35 ปี เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่เป็นผู้นำประเทศมุสลิม และได้พยายามที่จะนำพาปากีสถานเข้าสู่ยุคใหม่ที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม แม้จะต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาคอร์รัปชันและการบริหารที่ยุ่งยาก เธอก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญและการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
ความมุ่งมั่นและความตั้งใจที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ทำให้เบนาซีร์เป็นที่จดจำ การต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมแม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเป็นสิ่งที่สามารถทำให้ผู้นำเป็นที่ยอมรับและเคารพในระยะยาว
นายกฯ หญิงคนใหม่ของไทย
เร็วๆ นี้ คุณแพทองธาร ชินวัตร กำลังเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของประเทศไทย เนื่องจากเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลพรรคร่วม และนายกรัฐมนตรีพรรคเดียวกันคนก่อนหน้าถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยุติบทบาท เนื่องจากความบกพร่องด้านจริยธรรม แม้ว่าคนไทยส่วนใหญ่มองว่าเหตุผลที่แท้จริงที่เธอเข้าสู่ตำแหน่งนี้ได้ เป็นเพราะนามสกุลของเธอ ก็ตาม
ทางสองแพร่งของอุ๊งอิ๊ง
คุณอุ๊งอิ๊ง (แพทองธาร) จะกลายเป็น 1 ใน 5 ของผู้นำหญิงของโลก ที่เข้าสู่ตำแหน่งเมื่ออายุต่ำกว่า 40 ปี ที่คนรุ่นต่อไปจะได้เรียนรู้และจดจำ ช่วงเวลาถัดจากนี้ จะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญว่าเธอจะสร้างความจดจำเช่นไร ให้กับสังคมไทย
อาจถูกมองว่าเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ผู้มีวิสัยทัศน์เหมือนซานนา มาริน หรือมีบุคลิกน่าประทับใจและสื่อสารกับมวลชนได้ดีเยี่ยมอย่าง จาซินดา อาร์เดิร์น หรือเป็นผู้ยืนหยัดเพื่อความยุติธรรมอย่าง ยูเลีย ตีโมเชนโก หรือเป็นผู้พยายามพลิกฟื้นเศรษฐกิจแต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร อย่าง เบนาซีร์ บุตโต
ช่วงเวลาในตำแหน่งของเธอ จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าเธอจะถูกจดจำเช่นไร
