ผู้เขียน: 2 Cents

ตอนที่ 7 ชมธรรมชาติทั้งอุโมงค์ลาวา ดูยอดภูเขาไฟ และสัตว์ต่างๆ ทั้ง เต่า นกที่มีเท้าสีฟ้า แมวน้ำ สิงโตทะเล และปลาฉลามเล่นไฟ
จากเกาะ San Cristobal เรานั่งเรือเฟอร์รี่ (ซึ่งก็คือเรือเร็วลำย่อมๆ ไม่ใช่เรือใหญ่ๆ แบบบ้านเรา) ข้ามไปเกาะ Santa Cruz ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเกาะที่มีคนอยู่ในหมู่เกาะกาลาปากอส แต่เราว่าตัวเมืองที่คนอยู่ที่นี่ใหญ่ที่สุด
เกาะนี้มีสนามบินที่อยู่บนเกาะเล็กๆ ชื่อ ที่ห่างจาก Santa Cruz นิดเดียว ถ้าบินไปลงที่สนามบินนี้จะต้องนั่งรถเมล์จากสนามบินไปต่อเรือข้ามเกาะแล้วไปต่อรถเมล์อีกต่อหนึ่ง ใช้เวลาประมาณ 1 – 1.5 ชั่วโมง ถ้าไปด้วยเฟอร์รี่จะไปขึ้นที่ท่าเรือในเมือง
.
(จากภาพ: เกาะ Santa Cruz สุดด้านบนตรงวงสีแดงคือสนามบิน วงสีน้ำเงินคือเมืองที่คนอยู่อาศัย วงสีส้มคือสวนที่เราไปดูเต่า)
ถ้านั่งเฟอร์รี่ไปจะต้องจ่ายค่าบำรุงท่าเรือคนละ $1 (ทั้งเข้าและออก) และจะต้องเอากระเป๋าเข้าเครื่องเอ็กซเรย์อีกครั้งก่อนจะเดินเข้าเกาะ
กิจกรรมที่เราทำที่เกาะ Santa Cruz คือ
1. bay tour คือทัวร์เที่ยวอ่าวมีทั้งเดินดูสัตว์และ snorkel แต่เราไม่ได้ลง snorkel ราคาคนละ $40
2. จ้างแท็กซี่ไป highland ดูเต่าที่อยู่ตามธรรมชาติ เดินอุโมงค์ลาวา และดูยอดภูเขาไฟสองอัน ราคา $50 สำหรับ 2 คน
3. เดินเที่ยวบนเกาะ
แต่ละกิจกรรมมีรายละเอียด ดังนี้
1. bay tour เป็นทัวร์ค่อนวัน คือออกเก้าโมงเช้ากลับประมาณบ่ายสองโมงเย็น เราซื้อทัวร์บนเกาะล่วงหน้าวันเดียวตั้งแต่ก่อนทัวร์ออกก็เจอเต่า ปู และแมวน้ำที่ท่าเรือ แมวน้ำนี่ไปที่ไหนก็เจอ มีมากกว่าหมาจรจัดบ้านเราเยอะเลย
จุดแรกที่แวะคือบริเวณที่เรียกว่า Canal del Amor ที่น้ำสีเขียวสวย ไกด์บอกว่าว่ายน้ำเข้าไปสองคนกลับออกมาสามคน 555
จากนั้นเดินไป Playa de los Perros ดูนกที่ชื่อว่า Blue-footed boobies ที่มีเท้าสีฟ้าสดใสเพราะสารอาหารของปลาที่เธอกิน เธอเหมือนนกฟลามิงโกที่เกิดมาใหม่ๆ เท้าเธอเป็นสีเทาดำไม่ใช่สีฟ้า พอเธอกินปลามากๆ สีของเท้าเธอก็จะกลายเป็นสีฟ้าเพราะ carotenoid pigments จากอาหารที่เธอกิน สีของเท้าเธอยังบ่งบอกได้ว่าเธอมีสุขภาพดีหรือไม่ ถ้าเท้าสีฟ้าสดแปลว่าสุขภาพดี ถ้าฟ้าอ่อนแปลว่าสุขภาพไม่ค่อยดี Blue-footed boobies เขาจะทำรังอยู่บนพื้นใกล้ชายหาด

(จากภาพ: Blue-footed boobies กับลูกน้อยสองตัว)
จากนั้นก็ไปบริเวณที่เรียกว่า Las Grietas เป็นรอยแยกที่มีน้ำสีเขียวสวย คนอื่นเขา snorkel กัน ส่วนเราไม่ชอบเปียกน้ำก็เลยเดินเล่นแถวนั้น

(จากภาพ: Las Grietas)
แล้วเดินไป Canal de Tiburones ที่มีฉลามหลับอยู่ แต่น้ำค่อนข้างขุ่นและลึกถ่ายรูปออกมาไม่เห็น จากนั้นก็ไปหยุด snorkel อีกจุดนึงที่เราสองคนดูวิวอยู่บนเรือเหมือนเดิม สรุปจ่ายค่าทัวร์เต็มราคาแต่ไปแค่ครึ่ง แต่ก็ยังคุ้ม
2. ไป highland เราติดต่อแท็กซี่ไว้ล่วงหน้า ได้แท็กซี่จากนักท่องเที่ยวที่เคยมาและรีวิวไว้ใน Tripadvisor คนเดียวกับที่เราขอข้อมูลแท็กซี่ที่ San Cristobal
ทัวร์นี้มี 3 กิจกรรมคือ ดูเต่าที่อยู่ตามธรรมชาติไม่ใช่ในศูนย์อนุรักษ์แบบที่ San Cristobal ที่ Rancho Primicias – Giant Tortoise Reserve, ไปเดินอุโมงค์ลาวา, และไปปากภูเขาไฟสองอันที่เรียกว่า Twin Craters
Rancho Primicias เป็นสวนของเอกชนที่อยู่บริเวณที่มี Tortoise อยู่เยอะ เขาเลยมีบริการให้คนเข้าไปเดินดูเต่าที่อยู่ตามธรรมชาติในบริเวณสวนเขา ค่าเข้าชมคนละ $7.5 มีรองเท้าบูทให้เปลี่ยน มีร่มให้ใช้ถ้าฝนตก และไกด์พาเดินและอธิบายถึงธรรมชาติของ Tortoise เหล่านี้ และรวมเข้า Laval Tunnel ที่อยู่ในบริเวณเขตสวนด้วย
การเดินดูเต่าต้องเดินชมกับไกด์เท่านั้น เขาไม่ได้เลี้ยงเต่าพวกนี้และสวนไม่มีรั้วกั้นเต่า เต่าสามารถเดินไปไหนก็ได้ ดังนั้นเต่าที่เราจะเห็นในแต่ละวันจะไม่เหมือนเดิม และด้วยความที่เต่าสามารถเดินไปไหนก็ได้ แถวนี้จึงมีสวนให้ดูเต่าอีกแห่งหนึ่ง แต่คนขับแท็กซี่เราแนะนำที่นี่เพราะมี Lava Tunnel ที่ใหญ่ที่สุดเราก็เชื่อเขา
เดินดูเต่าระยะทางไม่ยาวมาก แค่เดินวนรอบสวน วันที่เราไปฝนตกเดินทุลักทุเลหน่อยเพราะไม่มีทางเดินแต่เดินบนพื้นดินที่แฉะเป็นโคลน แต่ก็มีเต่าอยู่เยอะ ตัวใหญ่สุดที่เห็นมีขนาดใหญ่มาก ไกด์บอกว่าอายุเกิน 100 ปี

(จากภาพ: Rancho Primicias – Giant Tortoise Reserve)
เสร็จจากดูเต่าเราก็ไปเดินในอุโมงค์ ลาวา (lava tunnel) ที่อยู่ในเขตสวนเต่า แต่ต้องขับรถมา คนขับแท็กซี่จอดส่งเราและบอกให้เราเดินไปออกที่สุดอีกทางของอุโมงค์ เขาจะไปรอตรงนั้น
อุโมงค์ลาวาเกิดจากการไหลของลาวาและผิวด้านนอกของลาวาโดนอากาศและเย็นลงจนแข็งตัว แต่ข้างในตรงกลางยังร้อนเป็นของเหลวและไหลต่อไปจนเกิดเป็นโพรงอยู่ตรงกลางคล้ายอุโมงค์ อุโมงค์ยาวประมาณ 500 เมตร บางช่วงแคบและต่ำมาก ต้องก้มสุดๆ ถึงจะผ่านไปได้ ใครที่เดินไม่ถนัดไม่ควรไป

(จากภาพ: Lava Tunnel)
หลังจากเดินทะลุอุโมงค์ลาวาก็ไปดูปากภูเขาไฟสองอันที่อยู่ใกล้ๆ กัน เขาเรียกว่า Twin Craters มีขนาดใหญ่มากและมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมเยอะ มองลงไปเห็นว่าไม่ลึกมาก
เหมือนเดิมคือ ระหว่างทัวร์เราเอากระเป๋าเดินทางไว้หลังรถแท็กซี่ (แท็กซี่ที่นี่คือรถกระบะสองตอน 4 ประตู) ตลอดทริปไม่ต้องกลัวของหายนะคะ วันนั้นฝนตกคนขับเขาก็เอาผ้าใบมาคลุมกระเป๋าเราไม่ให้เปียกฝน
3. เวลาที่เหลือเราเดินเที่ยวบนเกาะ เราจะชอบเดินไปตลาดปลาเพราะมีลูกสิงโตทะเลที่เพิ่งเกิดได้ไม่กี่สัปดาห์อยู่แถวนั้น เธอน่ารักมากเราเลยชอบเดินไปดู แถวตลาดปลาจะมีแมวน้ำกับนก ป้วนเปี้ยนอยู่ เราเคยเห็นรูปแมวน้ำยืนเกาะเคาน์เตอร์ที่ชาวประมงใช้หั่นปลาขอเศษปลากิน แต่เจ้าหน้าที่เขาบอกว่าเดี๋ยวนี้เขาไม่ให้ชาวประมงให้เศษปลาสัตว์กินแล้ว เพราะมันผิดธรรมชาติ เลยไม่ได้เห็นแมวน้ำยืนเกาะเขียงขอเศษปลาเลย
อีกที่หนึ่งคือ Darwin Research Center ที่เป็นศูนย์วิจัยและเรียนรู้ เราสามารถเดินดูเต่าที่อยู่ในบริเวณนี้ได้ แต่ต้องไปกับไกด์ที่ออกเป็นเวลา ตอนเราไปถึงต้องรอเวลานานเราเลยไม่ได้เดินดูเต่า แต่เดินในส่วนที่เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์

(จากภาพ: สิงโตทะเลเธออยู่ทุกที่)
นอกจากนั้นก็เดินเล่นแถวท่าเรือ ที่จะมีสิงโตทะเลนอนกันเกลื่อนกลาดไปหมด ตกดึกจะมีปลาฉลามมาเล่นไฟแถวนั้นด้วย

(จากภาพ: ปลาฉลามมาเล่นไฟที่ท่าเรือตอนกลางคืน)
ในส่วนของค่าครองชีพ ส่วนตัวเราว่าเกาะนี้ค่าครองชีพกลางๆ คือโรงแรมราคาถูกกว่า San Cristobal แต่แพงกว่า Isabela ส่วนเรื่องอาหารเกาะนี้มีหลากหลายและราคาถูกที่สุด บนเกาะมีถนนสายหนึ่งชื่อว่า Charles Binford เข้าไปจากชายหาดประมาณ 200 กว่าเมตร ซึ่งตอนเย็นจะมีร้านขายอาหารชุดเรียงรายกว่าสิบร้าน มีแม้กระทั่งอาหารชุดกุ้งมังกรหรือปลาทั้งตัวที่เราสามารถเดินเลือกกินได้ในราคาไม่แพง
นอกจากนี้บนเกาะยังมีซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่อยู่ตรงข้ามท่าเรือเฟอร์รี่ มีผลไม้และขนมปังเบเกอร์รี่ขาย แต่ควรซื้อกินเลยไม่ควรซื้อเก็บไว้กินทีหลัง เพราะมดเยอะมากกกกก เราซื้อขนมปังมากะว่าเผื่อหิวตอนดึกและไว้กินรองท้องตอนเช้า วางไว้ในห้องแป๊ปเดียวหันมาดูอีกทีมดเต็มถุงแล้ว ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อนเลย
ตอนหน้าจะพาไป Isabela เกาะสุดท้ายของทริปนี้นะคะ