คอลัมน์ เรื่องเล่าจากต่างแดน โดย 2 Cents
อยากให้อ่านนะคะ…ใครที่ชอบทานอาหารทะเลไม่สุก และถ้ามีแผลเปิดแล้วลงเล่นน้ำทะเล เพราะมีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อนี้ เราไม่ได้บอกให้กลัวแต่อยากให้รู้เพื่อระวังค่ะ
วันนี้เห็นเพจข่าวแห่งนึงเขียนเรื่อง flesh eating bacteria หรือแบคทีเรียกินเนื้อคนแล้วอยากให้ข้อมูลเพิ่มเติมนะคะ (จริงๆ มันไม่ได้กินเนื้อคนนะ คือมันไม่ได้กินเนื้อคนเพื่อจะเติบโตหรือเพิ่มจำนวน แต่มันทำลายเนื้อเยื่อทำให้เนื้อเยื่อตาย)
ใครที่เป็นเพื่อนเรามานานคงเคยเห็นเราโพสต์เรื่องนี้หลายครั้งแล้ว (ในเฟสบุ๊กของเรา) แต่วันนี้ขอสรุปเป็นเรื่องเป็นราวหน่อย เผื่อเป็นประโยชน์กับใครนะคะ
ที่อเมริกามีคนติดเชื้อนี้ทุกปี เรามีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ค่อนข้างเยอะ และน่าจะเริ่มเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว เพราะนี่เป็นสิ่งที่เรากลัวมาก อีกสองอย่างที่เรากลัวก็คือ brain eating ameba (อมีบาที่กินเนื้อสมอง) กับ super bugs (แบคทีเรียที่ดื้อยา)
ด้วยเหตุนี้เราเลยอ่านข่าวและมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ และก็เห็นความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับเรื่องนี้ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา
ข้อมูลส่วนมากคือสิ่งที่เกิดขึ้นในอเมริกานะคะ เพราะเรารับข่าวทางนี้มากที่สุด และเขามีข่าวเรื่องนี้มากกว่าแถวเมืองไทย (เรายังเคยสงสัยว่าทำไมเมืองไทยถึงไม่มี ทั้งๆ ที่อากาศร้อนกว่า) แต่เราเชื่อว่าที่อื่นก็ไม่ต่างกันมาก
ถ้าอยากรู้และเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ควรอ่านให้จบนะคะ
====
เชื้อนี้เป็นเชื้อใหม่รึเปล่า?
ก่อนอื่นขออธิบายและให้ข้อเท็จจริงก่อนว่าเชื้อโรคนี้ไม่ใช่เชื้อใหม่ ไม่ได้หลุดมาจากแลปที่ไหน
ไม่ได้กลายพันธุ์ เชื้อโรคนี้อยู่กับเรามานานแล้ว และภาวะแบคทีเรียกินเนื้อคนก็เกิดขึ้นมานานแล้ว
ภาวะแบคทีเรียกินเนื้อคน หรือ flesh eating bacteria มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Necrotizing fasciitis มันเกิดได้จากแบคทีเรียหลายตัว หนึ่งในนั้นเป็นแบคทีเรียประเภท Streptococcus ซึ่งคือแบคทีเรียตระกูลเดียวกับแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการเจ็บคอนี่แหละค่ะ
แต่ถ้าแบคทีเรียนี้เข้าไปในแผลเปิด มันสามารถทำให้เนื้อเยื่อตายและบริเวณที่เนื้อเยื่อตายจะแพร่ขยายไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเล่นมันที่เขาเรียกว่า แบคทีเรียกินเนื้อคน
แบคทีเรียอีกตระกูลหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะกินเนื้อนี้คือ Vibrio Vulnificus ซึ่งเป็นแบคทีเรียตระกูลที่อาศัยอยู่ในน้ำทะเลและน้ำกร่อยทั่วไป
คนส่วนมากที่ติดเชื้อ Vibrio Vulnificus นี้จะไม่มีอาการรุนแรง ที่อเมริกาเขาประมาณว่ามีคนติดเชื้อแบคทีเรีย Vibrio (Vibriosis) ปีละ 80,000 คน (อเมริกามีประชากรประมาณ 340 ล้านคน) “ส่วนมากเกิดจากการกินอาหารทะเลไม่สุก” ในจำนวนนี้มีเพียง 150-200 เคส ที่เกิดภาวะแบคทีเรียกินเนื้อคน แต่เมื่อเกิดภาวะนี้แล้วอัตราการเสียชีวิตจะค่อนข้างสูงคือประมาณ 20%
ในอเมริกาเคสแบคทีเรียกินเนื้อคนส่วนมากเกิดจากแบคทีเรีย Streptococcus แต่เคสที่เกิดจากการกินอาหารทะเลดิบมักเกิดจากแบคทีเรียตระกูล Vibrio
คนส่วนมากที่สุขภาพแข็งแรงดี ถึงจะได้รับเชื้อนี้จะไม่เจ็บป่วยรุนแรงและไม่เกิดภาวะแบคทีเรียกินเนื้อคน แต่สำหรับคนที่มีปัญหาทางสุขภาพ หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจจะมีการติดเชื้อรุนแรงเกิดภาวะแบคทีเรียกินเนื้อคนนี้และอาจเสียชีวิตได้
====
แบคทีเรียนี้อยู่ที่ไหน?
ที่อเมริกา เชื้อแบคทีเรียเหล่านี้จะอยู่ในน้ำทะเลแต่ก็สามารถพบเชื้อนี้ในน้ำกร่อยได้ และจะพบมากบริเวณที่อากาศค่อนข้างอุ่นคือในรัฐทางใต้ และช่วงหน้าร้อน จะไม่ค่อยพบในช่วงหน้าหนาวหรือในรัฐทางเหนือ
เชื้อจะพบได้มากตามโคลนตมและสัตว์ทะเลที่อยู่ตามโคลนตมหรืออยู่ใกล้ผิวพื้นดิน หรือบริเวณที่มีสาหร่ายหนาแน่น
====
ติดเชื้อได้ยังไง?
การติดเชื้อที่อเมริกาส่วนมากจะมาจาก “การที่คนมีแผลเปิดเล่นน้ำที่มีแบคทีเรียนี้และเชื้อเข้าทางแผล” แต่ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นแผลเปิดแบบเลือดไหลอะไรนะคะ แค่แผลขีดข่วน เป็นผื่น อะไรแบบนั้นก็เป็นช่องทางให้แบคทีเรียเข้าไปได้ เราอ่านมาหลายเคสแล้ว
แต่ไม่กี่ปีหลังนี่มีเคสที่เกิดจากการกินอาหารทะเลที่ไม่สุกเกิดขึ้นหลายเคส โดยแทบทั้งหมดมาจาก “การกินหอยนางรมดิบ” เขาบอกว่าปลาส่วนมากไม่อยู่ตามโคลน แต่มันอาจจะได้เชื้อจากการกินหอยหรืออะไรที่มีเชื้อต่อมาอีกที ดังนั้นการกินปลาดิบก็อาจติดเชื้อได้
และเมื่อปี 2018 มีเคสนี้ที่เกาหลี เกิดจากการกินปลาดิบ (https://www.cnn.com/…/raw-fish-vibrio…/index.html) โดยผู้ป่วยต้องตัดแขนบริเวณที่ติดเชื้อออก ทั้งนี้ผู้ป่วยคนนี้อายุ 72 และเป็นเบาหวาน นั่นคือภูมิต้านทานเขาไม่แข็งแรง
นี่เป็นเคสเดียวที่เราเคยเห็นที่เกิดจากการกินปลาดิบ
เคสส่วนมากเกิดจากการได้รับเชื้อจากแผล การได้รับเชื้อจากการกินอาหารทะเลดิบเกิดน้อยมาก
====
การติดเชื้อนี้ร้ายแรงแค่ไหน?
การติดเชื้อนี้และมีอาการถูกกินเนื้อเยื่อจะค่อนข้างร้ายแรง ที่อเมริกาเขาประมาณว่าอัตราการเสียชีวิตของคนที่ติดเชื้อและมีอาการถูกกินเนื้อเยื่ออยู่ที่ประมาณ 20% เราเห็นบางข่าวจากประเทศอื่นบอกว่า 30%
====
มีอาการยังไง?
อาการของโรคคือผิวจะแดงคล้ำ หรือม่วงและมีการบวมพองคล้ายแผลพองจากน้ำร้อนลวก แต่จะมีสีแดง
ถ้าติดเชื้อจากแผลเปิด การแดงและบวมจะเริ่มจากบริเวณแผล
ถ้าติดเชื้อจากการกินอาหารทะเลดิบ อาการแดงบวมจะเกิดบริเวณไหนของร่างกายก็ได้ ในเคสคนเกาหลีที่เราอ้างถึง เขาเกิดอาการผิวหนังแดงและบวมบริเวณมือและแขน
โดยมากอาการจะเกิดในไม่กี่ชั่วโมงถึงหนึ่งวันหลังจากได้รับเชื้อ และจะรุนแรงได้หลังจากมีอาการแค่วัน-สองวันแค่นั้น
ถ้าอยากเห็นรูปว่าผิวหนังแดงยังไง ลองเอาคีย์เวิร์ด flesh eating bacteria ไปค้นดูนะคะ รูปมันไม่ค่อยสวย เราไม่อยากเอามาลง
====
รักษายังไง?
ถ้าอาการเพิ่งเริ่ม ยังไม่มีการตายของเนื้อเยื่อ การรักษาก็คือการให้ยาฆ่าเชื้อ แต่ต้องเป็นยาฆ่าเชื้อแบบแรงที่ต้องให้ทางเส้นเลือด กินยาฆ่าเชื้อจะไม่พอที่จะฆ่าแบคทีเรียเหล่านี้
ถ้าเริ่มมีการตายของเนื้อเยื่อแล้ว การรักษามักจะทำโดยการตัดเนื้อเยื่อบริเวณที่ติดเชื้อออก
การติดเชื้อส่วนมากมักจะต้องมีการตัดเนื้อเยื่อร่วมกับการให้ยาฆ่าเชื้อ ถ้ามีการตายของเนื้อเยื่อมาก อาจจะต้องตัดอวัยวะนั้น เช่น มือ หรือ แขนออก เพื่อกำจัดแบคทีเรียไม่ให้แพร่ต่อไป
====
แบคทีเรียนี้ติดต่อรึเปล่า?
เท่าที่เราอ่านมาน่าจะสิบกว่าปีแล้วทุกเคสคือติดเชื้อโดยตรง ยังไม่เคยเห็นเคสที่ติดเชื้อจากคนอื่นเลย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันติดต่อจากคนสู่คนไม่ได้ เพราะ strep throat ที่ทำให้เจ็บคอก็ติดต่อจากคนสู่คนได้
การที่มันคือแบคทีเรีย และการติดเชื้อคือการกินหรือเข้าทางบาดแผล การติดเชื้อจากคนสู่คนก็อาจเป็นไปได้หากคุณสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยและรับเชื้อจากผู้ป่วยจากการจาม ไอ เข้าทางแผลหรือปาก
====
ป้องกันได้ยังไง?
ไม่มีวัคซีนป้องกันแบคทีเรียนี้นะคะ
เราสามารถติดเชื้อนี้จากแผลเปิดและการกินอาหารทะเลไม่สุก ดังนั้นการป้องกันก็คืออย่าให้เชื้อมีโอกาสเข้ามา
อย่าเล่นน้ำทะเลถ้ามีแผลเปิด ถ้าจะเดินในน้ำทะเลที่มีโคลนตมที่พื้นควรใส่รองเท้าที่สำหรับใส่ในน้ำ และหลีกเลี่ยงการกินอาหารทะเลที่ไม่สุก
และถ้าคุณเดินในน้ำทะเลเท้าเปล่าและถูกบาดโดยของมีคม โดยเฉพาะพลาสติก ให้สังเกตตัวเองให้ดี ถ้ามีอาการผิวหนังมีสีแดง หรือบวม หลังจากกินอาหารทะเลที่ไม่สุกหรือเล่นน้ำทะเลให้รีบหาหมอทันที การรักษาจะได้ผลดีก็ต่อเมื่อรักษาตั้งแต่เริ่มติดเชื้อ ยังไม่ติดเชื้อรุนแรง
====
ความเปลี่ยนแปลงของภาวะแบคทีเรียกินเนื้อคนที่เราเห็นช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา คือ
1. บริเวณที่มีคนติดเชื้อขยายไปทางเหนือขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่บอกว่าเชื้อนี้มักอยู่ในน้ำทะเลบริเวณที่มีอากาศอุ่น เมื่อสิบปีก่อนตอนเราเริ่มตามเรื่องนี้ใหม่ๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัว เพราะแทบทั้งหมดเกิดในรัฐทางใต้ เช่น Texas, Louisiana ซึ่งไกลจากเรามาก แต่เวลาผ่านไปก็กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวขึ้นเรื่อยๆ เพราะการติดเชื้อขยับขึ้นเหนือมาเรื่อยๆ ทุกปี
จนเมื่อปีที่แล้วมีการติดเชื้อนี้ในรัฐ New York และ Connecticut (ซึ่งเป็นรัฐที่อยู่ทางเหนือจะขอบสุดของอเมริกาแล้ว) น่าจะเป็นครั้งแรก โดยมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิต 3 คน 2 คนติดเชื้อจากการมีแผลและเล่นน้ำที่มีแบคทีเรียนี้ ส่วนอีกคนนั้นติดเชื้อจากการกินหอยนางรมดิบที่มาจากนอกรัฐ ทุกคนมีอายุระหว่าง 60 ถึง 80 ปี (https://www.google.com/…/flesh-eating-bacteria-deaths…)
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะภาวะโลกร้อน ที่ทำให้น้ำทะเลอุ่นขึ้นเรื่อยๆ แบคทีเรียก็เลยขยับขึ้นมาตามน้ำทะเลที่อุ่นขึ้น
2. อย่างที่เราเขียนไปแล้ว หลายปีแรกที่เราตามข่าว การติดเชื้อนี้เกิดจากการติดเชื้อทางแผลเปิดทั้งนั้น จนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเราเริ่มเห็นการติดเชื้อจากการกินอาหารทะเลไม่สุก และการติดเชื้อแบบนี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ คือการติดเชื้อนี้ทั้งแบบจากแผลเปิดและจากการกินอาหารดิบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
3. มีการวิจัยทดสอบสิ่งต่างๆ ในทะเลบริเวณที่พบแบคทีเรียตระกูล Vibrio จาก 16 อย่าง คือ ตัวอ่อนปลาไหล ขยะพลาสติก สาหร่ายทะเลสีน้ำตาลที่พบในบริเวณที่มีแบคทีเรียนี้ (sargassum) จากทั้งมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลแคริบเบียน
เขาพบว่าแบคทีเรียนี้สามารถเกาะติดกับพลาสติกได้ดีมาก โดยเขาไม่พบแบคทีเรียนี้ในสาหร่ายสีน้ำตาลที่ทดสอบ (แต่บริเวณที่มีสาหร่ายหนาแน่นจะมีแบคทีเรียนี้เยอะ คือสาหร่ายทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับแบคทีเรียนี้) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีแบคทีเรียนี้ในสาหร่ายนะคะ
ดังนั้นถ้าเดินในน้ำทะเลและถูกบาดจากพลาสติก พยายามทำความสะอาดแผลให้ดีที่สุดและสังเกตตัวเองอย่างใกล้ชิด ถ้ามีอาการผิวหนังแดง หรือบวมพอง รีบหาหมอให้เร็วที่สุด (https://www.cnn.com/…/sargassum-seaweed-blob…/index.html)
====
ทั้งหมดนี้เราเขียนเพื่อให้เข้าใจ ไม่ใช่เพื่อสร้างความหวาดกลัวนะคะ
ถ้ามีแผล มีผื่น มีรอยข่วน ระวังเวลาเล่นน้ำทะเล
อย่าเดินเท้าเปล่าในน้ำทะเลที่มีตะกอน โคลน หรือสาหร่ายหนาแน่น และสังเกตตัวเองหลังจากเล่นน้ำ ถ้ามีอาการผิวหนังเป็นสีแดง บวม พอง อะไรแบบนี้ก็ไปหาหมอก่อนเลยนะคะ รักษาเร็วเท่าไหร่ก็มีโอกาสหายแบบไม่สูญเสียอะไรมากขึ้นเท่านั้น