ผู้เขียน: 2 Cents

งานวิจัยค้นพบวิธีรีโปรแกรมเซลล์มะเร็งให้กลับกลายเป็นเซลล์ปกติที่แข็งแรง แทนที่จะรักษามะเร็งโดยการใช้ยาที่เป็นพิษเพื่อฆ่ามันแบบที่ทำมา
เมื่อก่อนโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่นั้นจัดว่าเป็นโรคคนแก่ เพราะผู้ป่วยส่วนมากมักเป็นคนอายุมากคือ 60 ขึ้นไป มะเร็งลำไส้ใหญ่นี้มีวิธีตรวจที่ค่อนข้างแม่นยำและสามารถป้องกันโอกาสที่จะเกิดในอนาคตได้ด้วย คือการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ หรือ colonoscopy
เนื่องจากเดิมโรคนี้มักจะเกิดกับคนสูงอายุเขาจึงแนะนำให้เริ่มทำ colonoscopy ที่อายุ 45-50 ปี นอกจากคนที่มีความเสี่ยงสูงคือคนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นจึงจะเริ่มทำ colonoscopy ที่อายุต่ำกว่า
แต่หลายปีมานี้เขาพบว่าคนอายุน้อย 30-35 หรือบางทียังไม่ถึง 30 ที่ไม่มีประวัติครอบครัวเคยเป็นมาก่อน ก็มีอัตราการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มากขึ้น จากสถิติปัจจุบันนี้มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นมะเร็งที่มีอัตราการเสียชีวิตเป็นอันดับหนึ่งในผู้ชายอายุน้อยกว่า 50 ปี และเป็นอันดับสองในผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า 50 ปี ซึ่งที่ผ่านมายังไม่สามารถระบุได้ว่าเพราะอะไรคนอายุน้อยถึงเป็นมะเร็งลำไส้กันมากขึ้น
====
งานวิจัยแรกนำโดยทีมนักวิจัยจาก University of California, San Diego พบว่าสารพิษที่มีชื่อว่า colibactin อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คนอายุน้อยเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่มากขึ้น
คนที่ได้รับสารพิษนี้ในร่างกายตั้งแต่เด็กอาจทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของ DNA ในลำไส้ใหญ่ได้หลายพันครั้งซึ่งทำให้มีความเสี่ยงที่เซลล์นั้นจะกลายเป็นเซลล์มะเร็งและเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มากขึ้น
การค้นพบนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญเพราะจริงๆ งานวิจัยเขาไม่ได้ตั้งใจจะตอบคำถามนี้ แต่เขาพบว่าเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ในคนอายุน้อยกับคนสูงอายุนั้นแตกต่างกัน เขาค้นพบต่อไปว่ามีแบคทีเรียและแบคทีเรียนี้ทำให้เกิดการกลายพันธุ์
เขาพบว่า colibactin ทิ้งรูปแบบเฉพาะของการกลายพันธุ์ของ DNA ไว้ ซึ่งลักษณะเฉพาะนี้พบได้บ่อยในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ในระยะเริ่มต้นที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี มากกว่าผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งลำไส้หลังอายุ 70 ปี ถึง 3.3 เท่า
เขายังพบอีกว่ามากกว่า 50% ของการกลายพันธุ์ของมะเร็งในทุกช่วงอายุเกิดจากแบคทีเรียนี้
สาร colibactin นี้เป็นสารพิษที่เกิดจากแบคทีเรีย E Coli บางสายพันธุ์ แบคทีเรีย E Coli นั้นเป็นแบคทีเรียที่มีอยู่ในร่างกายเราเป็นปกติ แต่เป็นเพียงบางสายพันธุ์ที่สร้างสารพิษนี้ ซึ่งเราไม่สามารถรู้ได้ว่าเรามีสารพิษนี้ในร่างกายหรือไม่
เขาสันนิษฐานว่าที่คนอายุน้อยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มากขึ้นเป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตทำให้คนรุ่นใหม่มีโอกาสสัมผัสกับเชื้อ E Coli นี้และมีสาร colibactin ในร่างกายมากกว่าคนสูงอายุ เช่น การคลอดบุตรโดยการผ่าแทนที่จะคลอดตามธรรมชาติ อาจทำให้เด็กมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียมากขึ้น เนื่องจากจุลลินทรีย์ในลำไส้ของทารกมีการพัฒนาที่ต่างกัน
นอกจากนี้การใช้ยาปฏิชีวนะที่เพิ่มมากขึ้น การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่ลดลง การบริโภคอาหารแปรรูปที่มากขึ้น ล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพลำไส้และระบบภูมิคุ้มกันของเด็ก ทำให้เด็กมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียมากขึ้น และทำให้พวกเขามีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียนี้และมีสารพิษ colibactin มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้มากขึ้นและเร็วขึ้น
โดยปกติในคนสูงวัยการกลายพันธุ์ครั้งแรกของเซลล์มักจะเกิดเมื่ออายุประมาณ 35 ปี แต่ในคนที่เป็นมะเร็งอายุน้อยบางคนนั้นการกลายพันธุ์เริ่มตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เมื่อมีการกลายพันธุ์มากก็ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น
ถึงแม้ว่าเราแต่ละคนจะไม่รู้ว่าเรามีสารพิษนี้อยู่ในร่างกายรึเปล่า แต่จากงานวิจัยนี้เขาหวังว่าจะพัฒนาการตรวจอุจจาระเพื่อดูว่าเราเคยติดเชื้อและมีการกลายพันธุ์จากสารพิษชนิดนี้หรือไม่
โดยตัวอย่างอุจจาระจะมี DNA จากเนื้อเยื่อลำไส้ใหญ่ที่มีหลักฐานของการกลายพันธุ์ ยิ่งมีการกลายพันธุ์มากเท่าไร ความเสี่ยงของบุคคลนั้นที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ก็จะยิ่งสูงขึ้น
เมื่อทราบว่าบุคคลใดมีความเสี่ยงสูงเราก็สามารถดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อติดตามและตรวจพบมะเร็งในระยะเริ่มต้นได้ เพราะมะเร็งลำไส้ใหญ่นั้นหากตรวจพบในระยะเริ่มแรกก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่วิธีทดสอบนี้คงจะใช้เวลาอย่างน้อยสองสามปีในการพัฒนา
บทความเต็มอยู่ในลิงก์ข้างล่างนะคะ เผื่อใครสนใจ
https://fortune.com/…/childhood-exposure-bacteria…
====
ส่วนอีกงานวิจัยนึงเป็นแนวทางการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่นี่เหมือนกัน เป็นงานวิจัยจาก Korea Advanced Institute of Science and Technology (KAIST)
ปัจจุบันนี้การรักษามะเร็งไม่ว่าจะโดยยา เช่น การทำคีโม ยามุ่งเป้า หรือการใช้รังสีฉายแสง เป็นการรักษาโดยการทำลายเซลล์มะเร็ง แต่ในงานวิจัยนี้แทนที่จะพยายามฆ่าเซลล์มะเร็ง ทีมวิจัยได้ค้นพบวิธีรีโปรแกรมเซลล์มะเร็งให้กลับกลายเป็นเซลล์ปกติที่แข็งแรงโดยการปิดยีนบางชนิดที่ทำให้เซลล์มะเร็งอยู่ในภาวะมะเร็ง
ในงานวิจัยนี้ นักวิจัยมุ่งเน้นไปที่ยีนหลัก 3 ชนิด คือ MYB, HDAC2 และ FOXA2 ซึ่งทำหน้าที่เหมือน “สวิตช์” ที่ช่วยให้เซลล์มะเร็งเติบโตอย่างควบคุมไม่ได้
- MYB เป็นยีนที่มักทำงานมากเกินไปในมะเร็งลำไส้ใหญ่และในเลือด โดยมันช่วยให้เซลล์มะเร็งเติบโตและป้องกันไม่ให้เซลล์เหล่านี้เติบโตเป็นเซลล์ปกติ
- HDAC2 มีบทบาทในการเรียงของ DNA มันสามารถปิดยีนป้องกันที่สำคัญและทำให้เซลล์มะเร็งสามารถอยู่รอดและขยายตัวต่อไปได้
- FOXA2 โดยปกติจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเซลล์ทั่วไป แต่ในมะเร็ง บางครั้ง FOXA2 อาจทำงานไม่ถูกต้องและช่วยให้มะเร็งเติบโต
นักวิจัยใช้ computer model ที่เรียกว่า BENEIN (ย่อมาจาก Boolean Network Inference and Control) ช่วยในการค้นหายีน 3 ตัวนี้ โดยเขาเริ่มจากศึกษาเซลล์ 4,252 เซลล์ ที่กำลังอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนเป็นเซลล์ลำไส้ปกติ จากนั้นนักวิจัยสร้าง network ที่ประกอบไปด้วยยีน 522 ยีน ที่มีความสัมพันธ์กันเกือบ 2,000 รูปแบบ เขาลดขนาดลงเหลือเพียงกลุ่มของตัวควบคุมหลัก 13 ตัว จากนั้นนักวิจัยได้ทำ simulation บน network นี้ เขาพบว่าหากพวกเขาปิดยีนเฉพาะ 3 ตัวนี้คือ MYB, HDAC2 และ FOXA2 โมเดลจะทำนายว่าเซลล์มะเร็งจะเปลี่ยนจากสถานะมะเร็งและเริ่มมีพฤติกรรมเหมือนเซลล์ปกติ
เมื่อนักวิจัยปิดยีนทั้ง 3 ตัวในเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ในห้องแล็บ เซลล์มะเร็งจะเริ่มเติบโตช้าลงและเริ่มทำตัวเหมือนเซลล์ลำไส้ที่ปกติ
เพื่อยืนยันว่าวิธีการนี้ได้ผล นักวิจัยได้ทดลองกับหนูและพบว่า หนูที่รับเซลล์มะเร็งที่ได้รับการรีโปรแกรมจะมีเนื้องอกขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับหนูที่ได้รับเซลล์มะเร็งที่ไม่ได้รับการรีโปรแกรมมาก
เมื่อนักวิทยาศาสตร์ศึกษาพฤติกรรมของยีนในเซลล์เหล่านี้ เขาพบว่าเซลล์ที่ได้รับการรีโปรแกรมมีลักษณะคล้ายกับเนื้อเยื่อลำไส้ใหญ่ที่เป็นปกติมาก แสดงให้เห็นว่าการบำบัดสามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้กลายเป็นเซลล์ปกติที่แข็งแรงได้ (แต่เนื้องอกมันยังโตอยู่ไม่ใช่เหรอ?)
ผลการทดลองนี้ชี้ให้เห็นว่าแทนที่จะรักษามะเร็งโดยการใช้ยาที่มีความเป็นพิษเพื่อฆ่ามัน เราอาจจะสามารถ “สอน” เซลล์มะเร็งให้กลับมามีพฤติกรรมปกติได้ ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากกว่า
แต่ตอนนี้อยากให้มีวิธีใหม่ในการรักษามะเร็งตับจังอ่ะ
บทความเต็มอยู่ในลิงก์ข้างล่างนะคะ เผื่อใครสนใจ
https://oncodaily.com/oncolibrary/benein-cancer-treatment….