บทความโดย ดร.เอื้อมพร ปัญญาใส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน)
จากหลักการ ถ่ายทอดสู่แนวปฏิบัติ และดำเนินการตามขั้นตอนอย่างเป็นรูปธรรม นั่นคือกลยุทธ์การทำ ESG ที่จะนำทางไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน
เราคงปฏิเสธกันไม่ได้เลยว่า กระแสของ ESG เป็นประเด็นที่องค์กรหันมาให้ความสนใจ และให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งต้องยอมรับว่าบริบทของ ESG เป็นเรื่องหนึ่งที่ผู้บริหารองค์กรทำความเข้าใจได้ไม่ยาก แต่การดำเนินการตามกรอบแนวทางด้าน ESG ที่เหมาะสมเป็นความท้าทายที่สำคัญ
ผู้บริหารจำนวนไม่น้อยยังมีมุมมองต่อการทำ ESG ว่าเป็นเรื่องที่มาพร้อมกับค่าใช้จ่าย ลำพังแค่ทำธุรกิจปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพ และแข่งขันได้ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่ถดถอยเช่นนี้ก็ลำบากมากพอแล้ว จึงเกิดคำถามว่าการทำ ESG ในเวลานี้เหมาะสมหรือไม่? แนวคิดเช่นนี้เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า ท่านอาจจะเข้าใจแนวคิดด้าน ESG ไม่ครบถ้วนหรืออาจจะยังไม่เข้าใจเพียงพอ
เริ่มต้นที่ความยั่งยืนของธุรกิจ
ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นผู้บริหารองค์กรขนาดกลางซึ่งมีความท้าทายในเรื่องทรัพยากรที่มีจำกัด และโมเดลธุรกิจในอุตสาหกรรมที่ถือว่าเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ มีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างต่ำ ทำให้ขนาดของโครงสร้างองค์กรจำเป็นต้องอยู่ในรูปเกือบๆ จะเป็น All-in-One
เมื่อเป็นเช่นนั้นตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง ไม่สามารถทำหน้าที่เพียงกำหนดทิศทาง หรือกลยุทธ์ได้ ในหลายกรณีหรือหลายเรื่องจำเป็นต้องลงมาผลักดันด้วยตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องกลยุทธ์ของความยั่งยืน จึงเกิดแนวคิดในมุมมองที่ว่า ทำอย่างไรให้ความยั่งยืนในเวอร์ชันของตนเป็นเวอร์ชันที่เหมาะสมกับธุรกิจของเราจริงๆ?
ดังนั้นเมื่อใดที่ผู้เขียนได้รับเชิญไปแบ่งปันการทำ ESG ในองค์กร ผู้ฟังหลายท่านเดินเข้ามาบอกว่า ไม่รู้สึกว่าฟังเรื่อง ESG แต่เป็นเรื่องการจัดทำกลยุทธ์องค์กร และทำให้มุมมองในเรื่อง ESG เปลี่ยนไป จับต้องได้ง่ายขึ้น
ในความเป็นจริงแล้ว หากองค์กรเริ่มต้นที่เป้าหมายคือ ความยั่งยืนของธุรกิจ และสามารถแตกประเด็นได้ว่า สิ่งสำคัญที่จะส่งผลต่อความยั่งยืนของธุรกิจ ประกอบด้วยอะไรบ้าง ซึ่งอาจใช้เวทีการจัดทำกลยุทธ์องค์กรประจำปีเป็นหลัก และเพิ่มกรอบแห่งความยั่งยืน โดยมีประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลเข้าไป ก็เท่ากับว่าองค์กรของท่านได้เริ่มมีแนวคิดเรื่อง ESG แล้ว
ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่หลากหลาย ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้องค์กรยั่งยืน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่อง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์กับปัจจุบัน รูปแบบธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมผู้บริโภค ตลอดจนทักษะใหม่ๆ ของพนักงาน และการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม ซึ่งได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดกลยุทธ์ การดำเนินงาน และชื่อเสียงของบริษัท แต่แท้จริงแล้วหลายท่านอาจลืมคิดไปว่า ESG เกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง? และองค์กรต่างๆ จะสามารถบูรณาการเข้ากับโมเดลธุรกิจของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร?
ESG เครื่องมือสร้างมูลค่าระยะยาว
ในที่นี้จึงมาสรุปบริบทที่สำคัญของ ESG เพื่อให้ชัดเจนว่า ESG เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับความยั่งยืน เป็นแนวทางการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายซึ่งเน้นการดูแลสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และแนวปฏิบัติด้านการกำกับดูแลที่แข็งแกร่ง โดยไม่ใช่เพียงแค่เกี่ยวกับความเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่นเท่านั้น แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการส่งเสริมการสร้างมูลค่าในระยะยาว ควบคู่ไปกับการรับมือกับความท้าทายเร่งด่วนระดับโลก
การพัฒนากลยุทธ์ความยั่งยืนที่แข็งแกร่งเริ่มต้นด้วยการประเมินที่ครอบคลุมถึงผลกระทบขององค์กรผ่านปัจจัย ESG ซึ่งคำแนะนำทีละขั้นตอนในการสร้างและการนำกลยุทธ์ดังกล่าวไปใช้ มีดังนี้:
การตั้งเป้าหมาย: ดำเนินการประเมินผลการดำเนินงาน ESG ในปัจจุบันของบริษัทอย่างละเอียดถี่ถ้วน และเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม ระบุพื้นที่สำหรับการปรับปรุงและกำหนดเป้าหมายที่ทะเยอทะยานและบรรลุผลได้
การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย: สร้างการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงพนักงาน ลูกค้า นักลงทุน และชุมชน เพื่อทำความเข้าใจความคาดหวังและข้อกังวลของพวกเขาเกี่ยวกับประเด็น ESG บทสนทนานี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าในการจัดลำดับความสำคัญของความคิดริเริ่มและสร้างความไว้วางใจ
การบูรณาการเข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจ: สอดแทรกประเด็น ESG ไว้ในแกนหลักของกลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยจัดให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินและลำดับความสำคัญในการดำเนินงาน สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการบูรณาการตัวชี้วัดความยั่งยืนเข้ากับการประเมินประสิทธิภาพและกระบวนการตัดสินใจ
ความโปร่งใสและการรายงาน: สร้างกลไกการรายงานที่โปร่งใสเพื่อติดตามความคืบหน้าในโครงการริเริ่ม ESG และสื่อสารผลลัพธ์ไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การรายงานอย่างสม่ำเสมอจะสร้างความน่าเชื่อถือและความรับผิดชอบ เพิ่มความไว้วางใจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน
การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง: ยอมรับวัฒนธรรมของการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องโดยการทบทวนและปรับปรุงแนวทางปฏิบัติ ESG อย่างสม่ำเสมอ ส่งเสริมนวัตกรรมและการทดลองเพื่อก้าวนำหน้าความท้าทายด้านความยั่งยืนที่เกิดขึ้น
ตัวอย่างมากมายของบริษัทที่แสดงให้เห็นถึงแนวทางปฏิบัติ ESG ทั้งที่เป็นแบบอย่างที่ดีและเป็นแนวทางปฏิบัติที่ต้องหลีกเลี่ยง เช่น บริษัทเครื่องแต่งกายสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง มีชื่อเสียงในด้านความมุ่งมั่นต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การใช้วัสดุรีไซเคิลในผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการสนับสนุนการปกป้องสิ่งแวดล้อม แบรนด์ “Patagonia” เป็นตัวอย่างแนวทางแบบองค์รวมสำหรับ ESG สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์ของตนโดยใช้ประเด็นทางด้าน ESG
ส่วนตัวอย่างที่เป็นเรื่องอื้อฉาวที่ทำลายภาพลักษณ์ คือ กรณีการปล่อยมลพิษของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายหนึ่ง เป็นบทเรียนและเป็นเครื่องเตือนใจถึงผลที่ตามมาของการละเลยการพิจารณา ESG การจงใจบิดเบือนการทดสอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่เพียงแต่ทำลายสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังทำลายความไว้วางใจและมูลค่าของลูกค้า คู่ค้า และผู้ถือหุ้นอีกด้วย
สำหรับผู้บริหารที่ต้องการส่งเสริมกรอบความคิด ESG ภายในองค์กร มีประเด็นสำคัญ ดังนี้:
- การสร้างมูลค่าระยะยาว: รับรู้ว่าการบูรณาการ ESG ไม่ใช่แนวโน้มระยะสั้น แต่เป็นความจำเป็นเชิงกลยุทธ์สำหรับการสร้างมูลค่าและความยืดหยุ่นในระยะยาว
- การจัดการความเสี่ยง: ทำความเข้าใจว่าการจัดการความเสี่ยง ESG ในเชิงรุกสามารถลดความเสี่ยงทางการเงิน ชื่อเสียง และด้านกฎระเบียบได้ เพื่อปกป้องอนาคตของบริษัท
- ความไว้วางใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย: จัดลำดับความสำคัญในการสร้างและรักษาความไว้วางใจกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียผ่านแนวปฏิบัติ ESG ที่โปร่งใสและการมีส่วนร่วมที่มีความหมาย
- นวัตกรรมและการปรับตัว: เปิดรับนวัตกรรมและความสามารถในการปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทาย ESG ที่กำลังพัฒนา และใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นใหม่
- ความเป็นผู้นำและความรับผิดชอบ: แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของผู้นำตามหลักการ ESG และยึดมั่นในตนเองและองค์กรที่รับผิดชอบในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก
โดยสรุป การบูรณาการเพื่อพิจารณา ESG เข้ากับแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจไม่เพียงแต่เป็นความจำเป็นทางจริยธรรม จรรยาบรรณ หรือศีลธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นความจำเป็นเชิงกลยุทธ์ในโลกที่เชื่อมโยงถึงกันในปัจจุบันอีกด้วย
การใช้หลักการด้านความยั่งยืน และดำเนินการตามขั้นตอนที่เป็นรูปธรรมเพื่อนำกลยุทธ์ ESG ไปใช้ อาจนำทางไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนให้แก่องค์กรได้ ในขณะเดียวกันก็จะสร้างมูลค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดด้วย
ถึงตรงนี้หลายท่านอาจจะเริ่มเห็นความสำคัญ และเข้าใจแล้วว่า ทำ ESG แล้วได้อะไร สำหรับผู้ที่ยังมีประเด็นสงสัย อาจจะลองตั้งคำถามว่า “หากไม่ทำแล้วจะเสีย (โอกาส) อะไรบ้าง หรือมีความเสี่ยงอะไรบ้าง” อาจจะได้คำตอบในอีกแง่มุมหนึ่งก็เป็นได้