บทความโดย ดร.เอื้อมพร ปัญญาใส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน)
วันนี้คุณคิดหรือยังว่า…จะปล่อยมือจากธุรกิจที่สร้างมาด้วยมือตัวเองอย่างไร? มีทางเลือกไหนบ้าง และทางไหนเหมาะกับสถานการณ์มากที่สุด รู้เร็วดีกว่า-รู้ช้าอาจเตรียมตัวไม่ทัน
จากสถิติของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา มีการจดทะเบียนธุรกิจใหม่ในแต่ละปีกว่า 70,000 ราย ยกเว้นในปี 2563 ที่มีการจดทะเบียนธุรกิจใหม่เพียง 63,000 ราย เนื่องจากการระบาดของ COVID-19โดยในปี 2566 ถือว่าสถิติของการจดทะเบีนธุรกิจใหม่ได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์คือ ประมาณ 85,000 ราย
ในขณะที่จำนวนธุรกิจที่จดทะเบียนเลิกกิจการตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมาถือว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักคือ มีประมาณปีละ 20,000-22,000 ราย จะเห็นว่าวงจรขององค์กรธุรกิจไม่ต่างจากวงจรชีวิตของเราทั่วไป มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
แม้ว่าปัจจุบันจะมีกระแสแนวโน้มเรื่องความยั่งยืนทางธุรกิจ แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ธุรกิจทุกชนิดไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ย่อมมีช่วงเวลาของตัวเอง หรือมีช่วงชีวิตของมัน หากเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีแผนงานการเติบโต การปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการขยายตลาด การเปลี่ยนจากรุ่นสู่รุ่นแบบมีระบบ มีโครงสร้างการสืบทอด ความท้าทายอาจจะไม่มากเท่าธุรกิจครอบครัวขนาดกลางหรือขนาดเล็กที่เป็นสัดส่วนส่วนใหญ่ของประเทศไทย
ในฐานะผู้นำของธุรกิจครอบครัว คุณได้ทุ่มเทเวลา ทรัพยากร หยาดเหงื่อ แรงกายแรงใจ มานับไม่ถ้วนในการสร้างธุรกิจของคุณ แต่เมื่อเวลาผ่านไปโดยเฉพาะเมื่อคุณมีอายุมากขึ้น คำถามที่ผุดขึ้นมาในใจ คือ เราจะเกษียณออกจากธุรกิจของเราได้อย่างไร สำหรับเจ้าของธุรกิจหลายคน การก้าวออกจากอาณาจักรที่สร้างมากับมือ เป็นเรื่องที่ทำใจค่อนข้างยากถึงยากมาก
ความจริงสำหรับเจ้าของธุรกิจครอบครัวจำนวนมากโดยเฉพาะในประเทศไทยคือ ลูกๆ ของพวกเขาอาจไม่ต้องการทำธุรกิจนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะความสนใจที่เปลี่ยนไป แรงบันดาลใจในอาชีพการงาน หรือเพียงแค่ไม่รู้สึกหลงใหลในงานแบบเดิม
ต้องยอมรับว่าคนรุ่นต่อไปอาจไม่พร้อมหรือเต็มใจที่จะดำเนินต่อไป ในกรณีนี้การมีแผนทางออก (Exit Strategy) หรือกลยุทธ์การสืบทอดที่ชัดเจนถือเป็นสิ่งสำคัญ หากไม่มีสิ่งนี้ คุณจะเสี่ยงต่อความมั่นคงทางธุรกิจของคุณและอาจส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของพนักงานและความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัวของคุณด้วย
ทางเลือกในการส่งต่อกิจการ หรือออกจากธุรกิจที่เราสร้างมา มีหลายแนวทาง ดังนี้
1. ส่งต่อธุรกิจให้กับสมาชิกในครอบครัว
เมื่อธุรกิจตกทอดมาจากครอบครัว อาจดูเหมือนเป็นทางเลือกที่เป็นธรรมชาติที่สุดในการส่งต่อไปยังรุ่นต่อไป อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าสมาชิกในครอบครัวที่เลือกนั้นเต็มใจ มีความสามารถ และพร้อมที่จะรับผิดชอบ
ทางเลือกนี้มีข้อดี คือ ความต่อเนื่องของธุรกิจ ธุรกิจยังคงอยู่ในครอบครัว โดยรักษามรดกและคุณค่าที่คุณสร้างขึ้น สมาชิกในครอบครัวอาจมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับบริษัทและความสำเร็จในระยะยาว
แต่จุดด้อย คือ เจ้าของธุรกิจจำนวนมากพบว่า คนรุ่นใหม่อาจไม่สนใจที่จะบริหารบริษัท และละทิ้งธุรกิจไปอย่างไร้จุดหมาย ในบางกรณีอาจสร้างความตึงเครียดในครอบครัว หลายครั้งการสืบทอดภายในครอบครัวมักจะนำไปสู่ความขัดแย้งหากมีความขัดแย้งในเรื่องความเป็นผู้นำ รูปแบบการบริหารจัดการ หรือการแบ่งแยกความเป็นเจ้าของ
เคล็ดลับสำหรับทางเลือกนี้ คือ เริ่มสนทนากับลูกๆ ของคุณและสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ ตั้งแต่เนิ่นๆ ส่งเสริมการสนทนาอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความสนใจและแรงบันดาลใจของพวกเขา และสร้างความคาดหวังที่ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้น
2. การขายธุรกิจ
หากบุตรหลานของคุณไม่สนใจที่จะดำเนินธุรกิจต่อ การขายอาจเป็นทางออกที่เป็นไปได้ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการขายให้กับคู่แข่ง ธุรกิจอื่น หรือแม้แต่บริษัทไพรเวทอิควิตี้ ข้อดีของการขายกิจการ คือการได้รับผลตอบแทนทางการเงินที่สำคัญ โดยเปิดโอกาสให้คุณเกษียณอย่างสบายใจหรือไปลงทุนในกิจการอื่นๆ การวางแผนแต่เนิ่น จะทำให้คุณสามารถมีทางเลือกในการตัดสินใจ ได้ว่าจะขายให้กับใครและเมื่อใด
การวางแผนในการขายกิจการนี้ คุณอาจต้องรับการประเมินมูลค่าธุรกิจจากมืออาชีพเพื่อทำความเข้าใจมูลค่าตลาดของบริษัทของคุณ ซึ่งจะช่วยในการกำหนดความคาดหวังที่สมจริงและระบุผู้ซื้อที่มีศักยภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงจะราบรื่นยิ่งขึ้น
ในกรณีนี้อาจส่งผลกระทบทางอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเป็นมรดกของครอบครัว การขายกิจการนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง เช่น เจ้าของใหม่อาจปรับโครงสร้างบริษัท ส่งผลกระทบต่อพนักงาน ลูกค้า และวัฒนธรรมการทำธุรกิจของคุณ แต่ต้องยอมรับว่าประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องปกติที่ต้องเกิดขึ้น
3. การควบรวมกิจการกับบริษัทอื่น
การควบรวมกิจการกับบริษัทอื่นสามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต พัฒนา และดำเนินต่อไปได้ ในขณะเดียวกันก็เสนอกลยุทธ์ทางออกให้กับคุณ หากคุณพร้อมที่จะก้าวออกไป นี่อาจเป็นการควบรวมกิจการกับบริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมของคุณ หรือเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์
ข้อดีในทางเลือกนี้ คือ ความต่อเนื่องทางธุรกิจ การควบรวมกิจการช่วยให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ โดยมักจะมีขนาดใหญ่ขึ้น นอกจากนี้ การควบรวมทรัพยากรกับบริษัทขนาดใหญ่สามารถเสริมสร้างแบรนด์และปรับปรุงความสามารถในการทำกำไรได้ โดยแลกกับการสูญเสียการควบคุม ในการควบรวมกิจการ คุณอาจต้องแบ่งปันหรือละทิ้งการควบคุมธุรกิจ ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากหากคุณเป็นผู้ตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว
นอกจากนี้ การควบรวมกิจการมักจะนำไปสู่ความท้าทายในการผสานวัฒนธรรมการทำงานระหว่างทั้งสองธุรกิจ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของพนักงานและประสิทธิภาพในการดำเนินงาน มีหลายกรณีที่แม้เมื่อมีการควบรวมกิจการ แต่โครงสร้าง หรือวัฒนธรรมการทำงานยังคงแตกต่าง ไม่ผสานเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งต้องอาศัยการสำรวจ หรือตรวจสอบให้แน่ใจว่าวัฒนธรรมองค์กรสอดคล้องกัน ความไม่ตรงกันทางวัฒนธรรมอาจทำให้เกิดความขัดแย้งภายใน ดังนั้นตรวจสอบให้แน่ใจว่าค่านิยมของทั้งสองบริษัทเข้ากันได้
4. การซื้อกิจการของพนักงาน
การซื้อกิจการของพนักงาน (Employee Buyout) อาจเป็นทางเลือกที่ดีหากคุณมีพนักงานคนสำคัญที่สนใจจะรับช่วงต่อธุรกิจ และคุณไม่ต้องการส่งต่อธุรกิจให้กับสมาชิกในครอบครัวของคุณ สิ่งที่ได้รับจากแนวทางนี้ คือ รักษาความภักดีของพนักงาน พนักงานหลักที่เป็นเจ้าของต่อจากคุณมีแนวโน้มที่จะยังคงความภักดีและลงทุนในความสำเร็จของธุรกิจ รวมถึงความราบรื่นในการเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นผู้บริหารหรือพนักงานที่คุ้นเคยกับกระบวนการทางธุรกิจสามารถรับประกันความต่อเนื่องและลดการหยุดชะงักให้เหลือน้อยที่สุด
แต่ทางเลือกนี้อาจจะมีประเด็นในเรื่องภาระทางการเงิน พนักงานอาจไม่มีเงินทุนในการซื้อธุรกิจล่วงหน้า พนักงานบางคนอาจสนใจหรือไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ ซึ่งเป็นการจำกัดทางเลือกของคุณ ซึ่งทางออกอาจจะอยู่ในรูปแบบของการจัดโครงสร้างการซื้อกิจการของพนักงาน โดยใช้การจัดหาเงินทุนของผู้ขาย โดยที่พนักงานจะจ่ายเงินให้กับธุรกิจเมื่อเวลาผ่านไป เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะลงทุนทางการเงินเพื่อความสำเร็จในระยะยาวของบริษัท
5. การปิดกิจการ
หากการขาย การรวมกิจการ หรือส่งต่อธุรกิจไม่ใช่ทางเลือก คุณอาจพิจารณาปิดธุรกิจ โดยทั่วไปการตัดสินใจนี้จะตามมาหลังจากได้สำรวจตัวเลือกอื่นๆ ทั้งหมดแล้ว และอาจเป็นทางเลือกสุดท้าย
ข้อดีคือ คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าจะปิดกิจการเมื่อใดและให้แน่ใจว่าจะดำเนินการอย่างเป็นระเบียบ เป็นการยุติภาระ หากธุรกิจไม่สามารถอยู่รอดได้ทางการเงินหรือไม่สอดคล้องกับค่านิยมส่วนบุคคลหรือครอบครัวของคุณอีกต่อไป
การปิดบริษัทอาจเป็นวิธีหนึ่งในการปลดปล่อยตัวเองจากความเครียดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผลกระทบหลักคือ การสูญเสียทางการเงิน การปิดธุรกิจอาจส่งผลให้สูญเสียสินทรัพย์และไม่สามารถรับรู้มูลค่าทั้งหมดได้ และผลกระทบต่อพนักงาน พนักงานอาจตกงาน ซึ่งมีผลกระทบทางสังคมและการเงินในระยะยาวสำหรับทั้งพวกเขาและเจ้าของธุรกิจ
ในกรณีที่คุณพิจารณาปิดธุรกิจ ให้ปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อทำความเข้าใจผลกระทบทางการเงินและขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าหนี้ทั้งหมดได้รับการชำระและปฏิบัติตามภาระผูกพันทางกฎหมาย
ในประเทศไทย ธุรกิจที่ครอบครัวเป็นเจ้าของเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจ และหลายแห่งเผชิญกับความท้าทายที่คล้ายกันในการวางแผนสืบทอดตำแหน่ง ปัญหาสำคัญที่ธุรกิจครอบครัวไทยต้องเผชิญคือการเน้นวัฒนธรรมในการรักษาชื่อเสียงของครอบครัวและมรดกทางธุรกิจ ซึ่งบางครั้งนำไปสู่การลังเลที่จะขายหรือส่งต่อการควบคุมไปยังบุคคลภายนอก
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจบางแห่งในประเทศไทยยอมรับการขายธุรกิจของตนให้กับไพรเวทอิควิตี้หรือธุรกิจครอบครัวอื่นๆ โดยตระหนักว่าศักยภาพในการเติบโตจะได้รับการดูแลจากผู้บริหารมืออาชีพหรือทรัพยากรทางการเงินที่มีขนาดใหญ่กว่าอนาคตของครอบครัว ใช้เวลาตอนนี้เพื่อตัดสินใจเรื่องที่ยากลำบาก แล้วคุณจะพร้อมมากขึ้นสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เริ่มตั้งแต่เนิ่นๆ วางแผนอย่างมีกลยุทธ์
สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเจ้าของธุรกิจครอบครัวคือการเริ่มวางแผนสำหรับอนาคตตั้งแต่วันนี้ แม้ว่าการคิดจะลาออกหรือขายธุรกิจของคุณอาจเป็นเรื่องยาก แต่การมีกลยุทธ์ที่พร้อมจะช่วยให้แน่ใจว่าธุรกิจของคุณ—และมรดกที่คุณสร้างขึ้น—มีอนาคตที่ประสบความสำเร็จและยั่งยืน ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจส่งต่อธุรกิจให้กับสมาชิกในครอบครัว ขาย ควบรวม หรือปิด สิ่งสำคัญคือ การสำรวจตัวเลือกทั้งหมดของคุณและทำการตัดสินใจอย่างมีข้อมูล
โปรดจำไว้ว่า กลยุทธ์การลาออกหรือแผนการสืบทอดตำแหน่งที่คิดมาอย่างดีเป็นสัญญาณของผู้นำที่มีความรับผิดชอบและมีวิสัยทัศน์ ผู้ที่ใส่ใจธุรกิจ พนักงาน และอนาคตของครอบครัว ใช้เวลาตอนนี้เพื่อตัดสินใจเรื่องที่ยากลำบาก แล้วคุณจะพร้อมมากขึ้นสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต