บทความโดย ทินกร เหล่าเราวิโรจน์ CEO และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ บริษัท นายเน็ต จำกัด

4 แนวโน้มสำคัญในปี 2025 ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงทั่วโลก สำหรับบริบทของประเทศไทยควรเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากจุดแข็งที่มีอยู่
โลกที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและแนวโน้มต่างๆ กำลังกำหนดทิศทางอนาคต ธุรกิจและสังคมต่างต้องปรับตัวให้ทันเพื่อไม่ให้ตกขบวน แต่การตามเทรนด์อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หากเราต้องการความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน เราจำเป็นต้องรู้ลึก รู้จริง และปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของตนเอง
บทความนี้จะกล่าวถึง 4 แนวโน้มสำคัญในปี 2025 ที่คุณไม่ควรพลาด
1. Agentic AI แทนที่แอปพลิเคชัน ยุคของแอปพลิเคชันบนมือถือกำลังจะถึงจุดเปลี่ยน เมื่อ Agentic AI หรือปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถในการตัดสินใจและดำเนินการต่างๆ แทนมนุษย์เข้ามามีบทบาท AI เหล่านี้จะเป็นเหมือนผู้ช่วยส่วนตัวที่รู้ใจและตอบสนองความต้องการได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ต้องเปิด-ปิดหลายแอปให้วุ่นวาย เช่น การจัดการปฏิทิน นัดหมาย หรือแม้แต่การลงทุน AI จะช่วยสร้างประสิทธิภาพและลดความซับซ้อนในชีวิตประจำวันของเรา
ตัวอย่างการใช้งาน Agentic AI ในชีวิตจริง:
- การเงิน: AI สามารถจัดการพอร์ตการลงทุนโดยอัตโนมัติ วิเคราะห์ตลาดการเงิน และปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
- การท่องเที่ยว: ผู้ช่วย AI สามารถวางแผนการเดินทาง จองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม และแนะนำกิจกรรมตามความชอบของผู้ใช้งาน
- ธุรกิจ: AI ช่วยตอบคำถามลูกค้าแบบอัตโนมัติ จัดการคำสั่งซื้อ และติดตามสถานะการจัดส่งสินค้า
- การบริหารซัพพลายเชน: AI สามารถวิเคราะห์ห่วงโซ่อุปทาน คาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และปรับเปลี่ยนแผนการจัดส่งสินค้าได้อย่างแม่นยำ
- การตลาดอัจฉริยะ: AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ สร้างแคมเปญการตลาดที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทันที
- การบริหารทรัพยากรบุคคล (HR): AI ช่วยคัดกรองผู้สมัครงาน จัดการการฝึกอบรม และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของพนักงานเพื่อเพิ่มผลผลิต
ตัวอย่างบริษัทที่ให้ความสำคัญกับ Agentic AI:
- KBTG: กำลังพัฒนา Agentic AI เพื่อใช้ทำงานร่วมกับคนภายในองค์กร และจะสร้างผลกระทบต่อธุรกิจและสังคมไทย 1 หมื่นล้านบาท ใน 5 ปี และขยายวิศวกร AI จาก 250 คน เป็น 1,000 คน ซึ่งส่งผลให้การทำงานกับ AI ง่ายและเร็วขึ้น พัฒนาระบบบริการได้เร็วขึ้น และผลักดันให้คนในองค์กรปรับตัวเข้ากับ AI มากขึ้น
2. Africa is Coming: แอฟริกากำลังมา แอฟริกาถือเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพสูงในการเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วยจำนวนประชากรที่มากกว่า 1.4 พันล้านคน และกว่า 60% เป็นวัยหนุ่มสาว แอฟริกากำลังก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ฟินเทค และเกษตรกรรมดิจิทัล หลายประเทศในแอฟริกากำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและเทคโนโลยี 5G ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสมัยใหม่
ตัวอย่างประเทศที่โดดเด่นในแอฟริกา:
- ไนจีเรีย: ศูนย์กลางสตาร์ทอัพเทคโนโลยี โดยเฉพาะด้านฟินเทค และการชำระเงินดิจิทัล
- เคนยา: ผู้นำด้าน Mobile Banking ผ่านแพลตฟอร์มอย่าง M-Pesa ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง
- แอฟริกาใต้: การเติบโตในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด และเทคโนโลยีดิจิทัล
ศักยภาพทางเศรษฐกิจ:
- 11 ประเทศจากแอฟริกา มี GDP เติบโตสูงที่สุดติด 25 อันดับแรกในปี 2024 ขณะที่เอเชียมี 9 ประเทศ และยุโรปไม่มีประเทศใดติดอันดับเลย
- ประเทศที่ GDP ปี 2024 สูงที่สุด 3 อันดับแรกคือ Niger 9.9%, Ethiopia และ Rwanda 6.5%
- ประชากรโลก 40% จะเป็นคนแอฟริกา เมื่อสิ้นสุดศตวรรษ 21
- การขยายตัวของชนชั้นกลาง ทำให้เกิดการบริโภคที่เติบโต
- การลงทุนจากต่างชาติ (FDI) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี
ธุรกิจไทยควรจับตามองตลาดแอฟริกาและมองหาโอกาสในการขยายตลาด การลงทุนในเทคโนโลยี และการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เพื่อก้าวสู่การเติบโตที่ยั่งยืน
3. Bitcoin for Government: บิตคอยน์สำหรับรัฐบาล ในปี 2025 หลายรัฐบาลทั่วโลกเริ่มยอมรับ Bitcoin และเทคโนโลยี Blockchain อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในประเทศที่ต้องการเพิ่มความโปร่งใสและลดปัญหาการทุจริตทางการเงิน เช่น เอลซัลวาดอร์ ซึ่งเป็นประเทศแรกที่ยอมรับ Bitcoin เป็นสกุลเงินที่ถูกกฎหมาย รัฐบาลสามารถใช้เทคโนโลยีนี้ในการจัดเก็บภาษี การโอนเงินข้ามประเทศ และลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม นอกจากนี้ บางประเทศยังพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของตนเอง (Central Bank Digital Currency: CBDC) เพื่อควบคุมระบบการเงินและรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่
ตัวอย่างเช่น:
- เอลซัลวาดอร์: ยอมรับ Bitcoin อย่างเป็นทางการ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้สกุลเงินดิจิทัล
- จีน: พัฒนา e-CNY หรือหยวนดิจิทัล เพื่อรองรับธุรกรรมในประเทศและข้ามพรมแดน
- อเมริกา: ภายใต้การนำของทรัมป์ 2.0 อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้รัฐบาลทุกประเทศให้ความสำคัญกับเงินดิจิทัล หรือการนำมาเป็นทุนสำรองของประเทศมากขึ้น
4. Unconventional New S-Curve: S-Curve ใหม่ในแบบฉบับไทย ประเทศไทยสามารถสร้าง S-Curve ใหม่ที่เหมาะสมกับบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของตนเอง ไม่จำเป็นต้องเดินตามประเทศพัฒนาแล้ว แต่ควรเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากจุดแข็งที่มีอยู่ หรือขยายผลจากความพิเศษเฉพาะตัวของคนไทย เช่น กรณีของปรากฏการณ์หมูเด้ง ที่กลายเป็นกระแสทั่วโลก ถ้าเรารู้จัก commercialize หรือสร้างมูลค่าเพิ่มให้ดีกว่านี้ จะเกิดเป็นรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนได้เช่นกัน และมีโอกาสอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่อีก เช่น
- การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม: ส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านมรดกทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ท้องถิ่น
- อุตสาหกรรมเกษตรอัจฉริยะ: ใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาภาคการเกษตร เพิ่มผลผลิต และลดต้นทุน
- เศรษฐกิจสร้างสรรค์: พัฒนาอุตสาหกรรมบันเทิง ดนตรี และศิลปะให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
หากประเทศไทยสามารถพัฒนา S-Curve ใหม่ที่เหมาะสม จะช่วยสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาอุตสาหกรรมดั้งเดิมเพียงอย่างเดียว
โดยสรุปการเตรียมตัวสำหรับปี 2025 เป็นสิ่งสำคัญ โดยทั้ง 4 แนวโน้ม ล้วนเป็นโอกาสที่ประเทศไทยควรใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่มีอยู่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน การปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจและสังคมไทยสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงในอนาคต